วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

รู้หมด แต่ทำอะไรไม่ได้


รู้หมด แต่ทำอะไรไม่ได้


ตั้งแต่มีการปล้นอาวุธปืน ที่ค่ายทหารกองพันพัฒนาที่ 4 หรือค่ายปิเหล็ง อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส เมื่อวันที่ 4 มกราคม 2547 เป็นต้นมา จนย่างเข้าสู่เดือนรอมฎอน ในเดือน ตุลาคม 2547 คนร้ายยังมีการเข่นฆ่าตำรวจ ทหาร อาสาสมัคร ครู พระภิกษุ สามเณร นักศึกษา แม้นกระทั่ง ผู้พิพากษา ก็ยังถูกลอบทำร้าย เป็นประจำทุกวัน กลุ่มก่อการร้ายเป็นใครมาจากไหน มีการเคลื่อนไหวอย่างไร เป็นประเด็นที่น่าติดตาม

มีรายงานข่าวจากหน่วยข่าวกรอง แจ้งให้สำนักนายกรัฐมนตรีทราบว่า วันที่ 17 กรกฎาคม 2547 ว่า แกนนำขบวนการเบอร์ซาตู ซึ่งมีนายกูดี ปูเต๊ะ หัวหน้าขบวนการ มูจาฮีดีนอิสลามปัตตานี นายรุสลัน ยามูแรแน ตัวแทนขบวนการพูโล นายเจ๊ะมูดอตะมะยูง ตัวแทนบีอาร์เอ็น และนักวิชาการที่เป็นแนวร่วม และมีแนวความคิดที่จะแบ่งแยกดินแดนรัฐปัตตานีดารุสลาม ได้มีการประชุมกันที่ บ้านยือลี รัฐกลันตัน ประเทศ มาเลเซีย เพื่อวางแผนใช้กองกำลังติดอาวุธ และแนวร่วมในพื้นที่ปฏิบัติการครั้งสำคัญ ด้วยการจับตัวนักการเมืองจากส่วนกลางและเจ้าหน้าที่ระดับสูงในท้องถิ่น อย่างหนึ่งอย่างใดเพื่อใช้เป็นตัวประกันในการต่อรองให้รัฐบาลปล่อยตัวผู้ต้องหา ที่ถูกจับกุมในข้อหาเป็นกบฏ อั้งยี่ ซ่องโจร แบ่งแยกดินแดน ซึ่งถูกควบคุมตัวอยู่ในเรือนจำ ที่เป็นบุคคลสำคัญประมาณ 20 คน ให้ถอนทหารออกจาก 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และให้ รัฐบาลไทยถอนทหารออกจากประเทศอิรัก ซึ่งจะเป็นการปฏิบัติการแบบเดียวกับกลุ่มอัล-เคดา โดยให้มีการดำเนินการมาตั้งแต่วันที่ 21 กรกฎาคม 2547 เป็นต้นมา โดยการก่อการร้ายมีการสนับสนุนเงินจากต่างประเทศ โดยมีการโอนเงินเข้ามาในประเทศมาเลเซียแล้ว 50,000 เหรียญสหรัฐ ซึ่งทางการกำลังหาข้อเท็จจริง

จากการสืบสวนในด้านลึกของหน่วยข่าวกรองที่ขณะนี้ขบวนการแบ่งแยกดินแดน ที่มีกลุ่มโต๊ะครูเจ้าของโรงเรียนสอนศาสนา และครูสอนศาสนาเป็นแกนนำและผู้สั่งการ ได้มีแผนการในการก่อความไม่สงบระยะยาว โดยเรียกแผนดังกล่าวว่า แผนยุทธการ "แผ่นดินมืด น้ำท่วมเมือง พลเมืองจะลุกขึ้นมาต่อสู้ เพื่อเรียกร้องเอกราชและปกครองตนเอง" โดยแผนการดังกล่าวถูกกำหนดขึ้นในโรงเรียนราษฎร์สอนศาสนา แห่งหนึ่งใน อ.สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2547 โดยขบวนการแบ่งแยกดินแดนซึ่งมีตัวแทนของ ดร.วัน อับดุลการเดร์ หรือ ดร.ฟาเดย์ เจ๊ะมาน ประธานเบอร์ซาตู และตัวแทนของ ขจก.เจ๊ะกูแม ปูเต๊ะ ประธานขบวนการมูจาฮีดีน อิสลามปัตตานี ร่วมประชุมกับกลุ่มครูสอนศาสนาระดับแกนนำ และกลุ่มขจก.ติดอาวุธ สำหรับ สาระในการประชุมครั้งนี้ ได้มีการกล่าวแสดงความยินดีกับการเลือกสมาชิก อบจ.และ อบต.ที่เพิ่งเสร็จสิ้น ที่แกนนำและแนวร่วมของขบวนการ สามารถเข้าไปดำเนินการทางการเมืองท้องถิ่นถึง 50 เปอร์เซ็นต์ 

หลังจากนั้นจึงได้สั่งการให้ปฏิบัติตามแผนการก่อการร้ายที่ถูกกำหนดขึ้น โดยให้คำจำกัดความคำว่า "แผ่นดินมืด" คือให้ใช้วิธีการก่อการร้ายด้วยการวางระเบิด และก่อวินาศกรรมทุกสถานที่ที่โอกาสเปิดให้ เพื่อให้ประชาชนเกิดความหวาดกลัว โดยกำหนดให้เดือนสิงหาคมทั้งเดือนเป็นเดือนแห่งการก่อวินาศกรรมด้วยระเบิด


ส่วน "น้ำท่วมเมือง" เป็นการปฏิบัติการในเดือนกันยายน2547 ซึ่งเป็นฤดูฝน ให้ใช้อาวุธซุ่มโจมตียานพาหนะ และที่ตั้งของทางหน่วยราชการ รวมทั้งกองกำลังเจ้าหน้าที่ชุดรักษาความปลอดภัยของหมู่บ้าน ตำบล กวาดรวบรวมอาวุธยุทโธปกรณ์จากชุดคุ้มครองตำบลให้มากที่สุด ให้เหมือนกับน้ำหลากท่วมเมือง เพื่อให้ขบวนการที่สนับสนุนการเงินในต่างประเทศ เห็นถึงการปฏิบัติการที่รุนแรงเหมือนกับที่เกิดขึ้นในต่างประเทศ หลังจากนั้นบรรดาแนวร่วม และประชาชนที่สนับสนุนการแบ่งแยกดินแดนก็จะออกมาเรียกร้องให้ปกครองตนเองตามมา 
รายงานข่าวจากหน่วยข่าวกรองแจ้งด้วยว่า ในการปฏิบัติการครั้งนี้มีการใช้เงินถึง 5 ล้านบาท โดยเป็นเงินทุนจากมูลนิธิเพื่อมนุษยธรรมมุสลิมเอเชีย (ตอรีกัต) จากประเทศอินโดนีเซีย ผ่านทางนายเปาซี หะยีแวอูมา ฉายา (อัล เปาซี) ซึ่งเป็นคนใกล้ชิดของ โอซามา บิน ลาเดน หัวหน้าขบวนการก่อการร้ายอัล-เคดา โดยแบ่งเงินทั้งหมดให้แกนนำแต่ละคนนำไปเป็นค่าดำเนินการ นอกจากนี้ได้กำหนดให้ใช้โรงเรียนปอเนาะ 3 แห่งในพื้นที่ จ.นราธิวาส เป็นที่บงการและนัดพบ ประกอบด้วย โรงเรียนปอเนาะแห่งหนึ่งใน อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส โรงเรียนปอเนาะใน อ.ศรีสาคร และใน อ.กาบัง จ.ยะลา 


หน่วยข่าวที่ฝังตัวอยู่ในพื้นที่ยังได้รายงานว่า การปฏิบัติการในแต่ละพื้นที่ จะใช้แนวร่วมที่เป็นเยาวชนที่ได้รับการฝึกอบรมทั้งทางด้านจิตใจ การเมือง และอาวุธ เป็นผู้นำระเบิดไปวางตามจุดต่าง ๆ โดยจะมีกองกำลังติดอาวุธเป็นผู้ควบคุมติดตามตรวจสอบว่าได้ปฏิบัติการจริงหรือไม่ หากหน่วยใดรับเงินไปแล้วไม่ปฏิบัติตามแผนจะถูกลงโทษอย่างรุนแรง สำหรับการประกอบระเบิดและนำระเบิดไปส่ง จะเป็นภารกิจ ที่ปิดลับ ไม่บอกให้แนวร่วมรู้ โดยเส้นทางที่จะใช้ในการเดินทางนำระเบิดไปยังที่หมายคือ ทางหลวง ชนบทสาย 3090, 3091, 3088, 3067, 3092, 3004, 3005, 3093 ทางหลวงจังหวัดหมายเลข 4055, 4217, 4115, 4062, 4057, 4080 และทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 42 สายปัตตานี-นราธิวาส สำหรับเป้าหมายในการก่อการร้าย นอกจาก จ.นราธิวาสแล้ว ยังกำหนดเป้าหมายที่ อ.บันนังสตา อ.เบตง อ.เมือง จ.ยะลา อ.โคกโพธิ์ อ.สาย บุรี จ.ปัตตานี ด้วย 

ด้านข่าวกรองมีรายงานว่า นายรุสลัน ยามูแรแน รองประธานขบวนการพูโลใหม่ เดินทางจากประเทศซีเรีย กลับมากบดานยังที่มั่น ในหมู่บ้าน ตำบลนาเนาะแมเราะ รัฐกลันตัน มาเลเซีย มีการเรียกประชุม กองกำลังติดอาวุธ 30 คน ที่เคลื่อนไหวใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อเตรียมก่อความไม่สงบ มีการจ่ายเงินค่าตอบแทนให้กับกลุ่มที่เข้าร่วมประชุมด้วย และมีข่าวออกมาว่า ในระหว่างวันที่ 23 -31 กรกฎาคม 2547 จะมีการลุกฮือของผู้ก่อการประมาณ 3,000 คน ซึ่งจะมีลักษณะคล้ายกับวันที่ 28 เมษายน 47 ทำให้กองกำลังทหาร ตชด.เสริมกำลังเข้ามาในพื้นที่อีก เพื่อให้การคุ้มครองผู้บริสุทธิ์ ที่อยู่ในพื้นที่


ในขณะที่นายโภคิน พลกุล รมว.มหาดไทย ออกมาให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ในขณะนี้ยังไม่ได้รับรายงานเรื่องแผนยุทธการแผ่นดินมืดน้ำท่วมเมือง ที่กลุ่มมูจาฮีดีนปัตตานี เตรียมก่อเหตุความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ 
เมื่อวันที่ 2 ส.ค. 47 หน่วยข่าวกรองในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ระบุว่า จากเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ ที่มีเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทหาร และชาวบ้าน เสียชีวิตแบบรายวันนั้น มีครูสอนศาสนาในโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม หรือโรงเรียนปอเนาะ กว่า 20 คน เป็นผู้ลงมือปฏิบัติการ โดยจากการสืบทราบมีรายงานว่า มีนายมุคตาร์ หรืออาแบ อินโด ซึ่งเป็นหลานแท้ ๆ ของนายฮัมบาลี แกนนำขบวน การเจไอ ชาวอินโดนีเซีย ที่ถูกทางตำรวจไทยจับกุมที่ จ.พระนครศรีอยุธยา เมื่อปลายปี2546 เป็นผู้ประสานรับเงินจากขบวนการโจรก่อการร้าย สากล "อัล-เคดา" ที่มีนายอุสซามะห์ บินลาเดน เป็นหัวหน้า เพื่อนำมาจ้างเยาวชนและครูสอนศาสนาในการก่อเหตุและปลุกระดมเยาวชนในพื้นที่ โดยมีเป้าหมายเพื่อแบ่งแยกดินแดน


ข่าวกรองยังระบุอีกว่า ที่ผ่านมากลุ่มที่เคลื่อนไหวในการแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ ไม่ว่าจะเป็นขบวนการพูโล บีอาร์เอ็น และมูจาฮีดีน ยังไม่เป็นที่ยอมรับจากองค์กรมุสลิมโลก หรือ (oic) ซึ่งมีประเทศมุสลิมกว่า 60 ประเทศเป็นสมาชิก ทางกลุ่มที่เคลื่อนไหวจึงหันไปพึ่งงบประมาณจากกลุ่มอัล-เคดา แทน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่า นายมุคตาร์กับนายฮัมบาลีเคยเดินทางไปพบครูสอนศาสนาอิสลามในปอเนาะ ที่ถูกทาง การขึ้นบัญชีดำในขณะนี้หลายครั้ง ก่อนจะเกิดเหตุการณ์รุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ผ่านมา ทั้งนี้นายมุคตาร์ยังเป็นผู้ชำนาญด้านวัตถุระเบิดอีกด้วย

ด้านสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานจากกรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซียว่า นายไซอิด ฮามิด อัลบาร์ รมว.ต่างประเทศมาเลเซียให้สัมภาษณ์สำนักข่าวเบอร์นามาว่า มาเลเซียจะให้ความช่วยเหลือในเรื่องธนาคารอิสลาม การฝึกฝนอาชีพให้กับคนงานภาคอุตสาหกรรม และปรับโครงสร้างโรงเรียนสอนศาสนา ซึ่งจะเป็นการช่วยเหลือประเทศไทยในการพัฒนาพื้นที่ชายแดนภาคใต้ของไทย นอกจากนั้น รมว.ต่างประเทศมาเลเซียยังกล่าวย้ำว่า สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน เช่น ถนนหนทาง และสะพาน จะต้องเร่งดำเนินการก่อสร้างขึ้นมาก่อน เพื่อให้การพัฒนาเข้าไปถึงพื้นที่เป้าหมาย.

ส่วนความคืบหน้าของการที่ตำรวจสันติบาลมาเลเซีย จับกุมนายเป๊าะสู อิสมาแอล ผู้ถูกระบุว่าแต่งคัมภีร์อัลกุรอานบิดเบือนข้อเท็จจริง จนทำให้เกิดเหตุการณ์รุนแรงในวันที่ 28 เม.ย.47 ทางตำรวจสันติบาลมาเลเซียนำตัวของนายเป๊าะสู ไปควบคุมตัวที่กองบัญชาการตำรวจสันติบาลที่กรุงกัวลาลัมเปอร์เพื่อสอบสวนข้อเท็จจริงโดยทางรัฐบาลมาเลเซียได้ตั้งข้อหาเป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ และจะดำเนินคดีกับนายเป๊าะสู เอง โดยไม่ส่งตัวให้กับรัฐบาลไทย เพราะผู้ต้องหาเป็นชาวมาเลเซีย แต่จะให้ทางการไทยส่งเจ้าหน้าที่ไปร่วมสอบสวนข้อเท็จจริงที่ต้องการทราบได้ สำหรับ นายเป๊าะสู เป็น 1 ใน 30 ผู้ต้องหา ที่ทางรัฐบาลไทยต้องการตัว และขอความร่วมมือให้ทางประเทศมาเลเซียจับกุมให้

รายงานข่าวระบุว่า สาเหตุที่ฝ่ายไทยประสานให้ตำรวจมาเลเซียช่วยจับกุม นายเป๊าะสู เนื่องจากผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องกับเหตุวันที่ 28 เม.ย.47 คือนายมามะ มะตีเยาะ แกนนำคนสำคัญ และคนอื่นให้การตรงกันว่าก่อนออกปฏิบัติการมีคนชักชวนให้ไปพบครูสอนศาสนาชาวมาเลเซีย ชื่อเป๊าะสู อยู่ที่เมืองตาเนาะแมเราะ รัฐกลันตัน ได้ฝึกวิชากับครูสอนศาสนาคนนี้ที่เทือกเขาในถ้ำสะโด จากนั้นเป๊าะสู ได้มอบหนังสือการต่อสู้ที่รัฐปัตตานีให้ติดตัวกลับเมืองไทย ก่อนตำรวจมาเลเซียจะจับกุมนายเป๊าะสู ฝ่ายไทยได้ส่งภาพสเกต นายเป๊าะสู และส่งเจ้าหน้าที่ไปประสานเพื่อขอให้ช่วยถ่ายภาพนายเป๊าะสู โดยมีการทำแผนผังบ้านของนายเป๊าะสู ประกอบด้วย จากนั้นนำภาพถ่ายมาให้ผู้ต้องหาที่ถูกจับกุมชี้ภาพ ปรากฏว่าส่วนใหญ่ชี้ได้อย่างถูกต้อง ทางฝ่ายไทยจึงขอให้ตำรวจมาเลเซียช่วยจับกุมนายเป๊าะสู

แต่ถึงจะมีการจับกุม นายเป๊าะสู ล่าสุดหน่วยข่าวกรองได้แจ้งเตือนให้ตำรวจ ทหาร ใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้ระวังป้องกันการก่อการร้ายอย่างเต็มที่ เนื่องจากตรวจพบว่า ระหว่างวันที่ 13-20 ส.ค.2547 จะมีการก่อการร้ายอีกครั้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ด้วยการส่งเยาวชนที่ได้รับการฝึกให้มีความชำนาญในการใช้มีด และการประกอบระเบิด จำนวน 50 คน เข้ามาก่อความไม่สงบ โดยจะเน้นที่ จ.นราธิวาส

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม