วันอาทิตย์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

การสาบาน (ซุมเปาะฮ์)


การสาบาน (ซุมเปาะฮ์)


            การสาบาน เรียกตามศัพท์เฉพาะในศาสนาอิสลามว่า อัลยะมีนหรืออัลฮัลฟฺ (เรียก ตามภาษายาวี ว่า ซุมเปาะฮฺ) คำว่า ยะมีน (يمين) หมายถึง มือขวาที่ตรงกันข้ามกับมือซ้าย เหตุที่เรียก การสาบานว่า ยะมีน เพราะผู้สาบานจะจับมือขวาของผู้ร่วมสาบาน บ้างก็กล่าวว่า เพราะการสาบานจะรักษาสิ่งนั้นๆ เยี่ยงที่มือขวาจะรักษาสิ่งนั้น (ฟิกฮุซซุนนะฮฺ, ซัยยิด ซาบิก 2/66)

         ตามหลักนิติศาสตร์ คำว่า ยะมีน หมายถึง การกระทำให้เรื่องนั้นๆ เป็นจริง หรือการ เน้นย้ำสิ่งนั้นๆ ด้วยการกล่าวพระนามของพระองค์อัลลอฮฺ (ซุบบาฮานาฮุวะตะอาลา) หรือคุณลักษณะ (ซีฟัต) หนึ่งจากบรรดาคุณลักษณะของพระองค์ หรือหมายถึง การทำข้อตกลงที่ผู้สาบานจะมีความมุ่งมั่น (อัซมฺ) อย่างจริงจังด้วยการสาบานนั้นต่อการกระทำหรือการละทิ้ง คำว่า ยะมีน, ฮัลฟฺ, อีลาอฺ และ ก่อซั่ม มีความหมายเดียวกัน (อ้างแล้ว หน้าเดียวกัน)

มีเงื่อนไขสำคัญเกี่ยวกับคุณสมบัติของผู้สาบานดังนี้

  • (1) บรรลุศาสนภาวะและมีสติสัมปชัญญะ
  • (2) สมัครใจในการสาบาน ไม่ถูกบังคับ
  • (3) มีเจตนาในการสาบานและการสาบานนั้นจำต้องมีสำนวนหรือถ้อยคำที่ใช้ในการสาบานตามข้อกำหนดดังในคำนิยามข้างต้น
ประเภทของการสาบาน   การสาบาน (ยะมีน) แบ่งออกเป็น 3 ประเภท

  • 1) ยะมีน อัลฆ่อมูซ (يمين الغموس) คือ การที่บุคคลสาบานเท็จโดยเจตนา อาทิเช่น การที่ผู้สาบานกล่าวว่า “ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ (วัลลอฮิ) ฉันจะกระทำสิ่งนี้แน่นอน” โดยที่เขา ไม่กระทำสิ่งนั้น เหตุที่เรียกการสาบานประเภทนี้ว่า “ฆ่อมูซ” ซึ่งแปลว่า จุ่ม เพราะการสาบานดังกล่าวจะจุ่มผู้สาบานลงในความบาป (มินฮาญุ้ลมุสลิม หน้า 570) บางทีก็เรียกการสาบานประเภทนี้ว่า อัซซอบิเราะฮฺ (الصابرة) ซึ่งหมายถึงการสาบานเท็จที่มุ่งทำลายบรรดาสิทธิหรือ มีเจตนากระทำสิ่งที่ขัดต่อหลักการและบิดพลิ้วด้วยการสาบานนั้น (ฟิกฮุซซุนนะฮฺ 2/72)
          ข้อชี้ขาด การสาบานประเภทนี้ ถือเป็นบาปใหญ่ และการเสียค่าปรับ (กัฟฟาเราะฮฺ) สำหรับการสาบานประเภทนี้ถือว่าใช้ไม่ได้ แต่จำเป็นต้องเตาบะฮฺและขอลุแก่โทษ (มินฮาญุล มุสลิม หน้า 570) และจำต้องส่งคืนสิทธิไปยังเจ้าของ เมื่อการสาบานมีผลทำให้เจ้าของสิทธิสูญเสียสิทธิ (ฟิกฮุซซุนนะฮฺ 2/72,73)

  • 2) ยะมีน อัลลัฆวี่ย์ (يمين اللغو) หมายถึง การสาบานโดยไม่มีเจตนาสาบาน แต่เป็น การพูดติดปาก อาทิเช่น การกล่าวว่า ไม่! ขอสาบานต่ออัลลอฮฺ เป็นต้น
ข้อชี้ขาด การสาบานประเภทนี้ ผู้สาบานไม่มีบาปแต่อย่างใดในการสาบาน และ ไม่จำเป็นต้องเสียค่าปรับ (กัฟฟาเราะฮฺ) แต่อย่างใด (ฟิกฮุซซุนนะฮฺ 2/72, มินฮาญุลมุสลิม หน้า 571)

  • 3) ยะมีน มุนอะกิดะฮฺ (يمين منعقدة) หมายถึง การสาบานซึ่งผู้สาบานมีเจตนาและมุ่งมั่นต่อการสาบานนั้น บ้างกล่าวว่า : หมายถึง การที่บุคคลสาบานว่าจะกระทำเรื่องหนึ่งที่เป็นอนาคตหรือไม่กระทำเรื่องนั้น (ฟิกฮุซซุนนะฮฺ 2/72)
ข้อชี้ขาด ผู้ใดสาบานแล้วผิดสาบานในประเภทนี้ถือว่ามีบาปและจำเป็นที่ผู้นั้นต้อง เสียค่าปรับ (กัฟฟาเราะฮฺ) และเมื่อผู้นั้นเสียค่าปรับนั้นแล้ว บาปอันเนื่องจากการผิดสาบาน ก็ตกไป (มินฮาญุ้ลมุสลิม หน้า 571)

แนวทางในการแก้คำสาบาน (Sumpah)

  • 1. กรณีการสาบาน (Sumpah) มีองค์ประกอบครบตามเงื่อนไขที่ระบุข้างต้น หากผู้สาบานประสงค์ถอนคำสาบานจำต้องเสียค่าปรับ (Kaffaraah,Expiatory giff) ภายหลังการถอน คำสาบาน (The violation of an oath) ดังนี้
  •          ก. เลี้ยงอาหารคนยากจนจำนวน 10 คน ด้วยอาหารในระดับปานกลางที่ครอบครัวของ ผู้สาบานรับประทาน หรือมอบธัญญาหาร (อาทิเช่น ข้าวสาร) แก่คนยากจนจำนวน 10 คนๆ ละ 1 ทะนาน (อิอานะตุตตอลิบีน, อัซซัยยิด อัลบักรี่ย์, เล่มที่ ๔/๓๖๖ สำนักพิมพ์ดารุ้ลฟิกร์, (เบรุต เลบานอน), ค.ศ.1993)
  •          ข. มอบเครื่องนุ่งห่ม อาทิเช่น เสื้อ, ผ้านุ่ง เป็นต้น แก่คนยากจนจำนวน 10 คน (โดย แต่ละคนได้รับเครื่องนุ่งห่มดังกล่าวคนละ 1 ชิ้น)
  •          ค. ปล่อยทาส (ในปัจจุบันไม่ปรากฏว่ามีทาส การเสีค่าปรับในข้อนี้จึงถือว่าตกไป) (อัลฟิกฮุ้ลอิสลามีย์ฯ, ดร.วะฮฺบะฮฺ อัซซุฮัยลี่ย์, เล่มที่ ๓/๔๙๗ สำนักพิมพ์ดารุ้ลฟิกร์ (เบรุต), (พิมพ์ครั้งที่ 2) ค.ศ.1984)
             ทั้งนี้ผู้ถอนคำสาบานสามารถเลือกการเสียค่าปรับข้อหนึ่งข้อใดจาก 3 ข้อนี้ได้ ตามสถานภาพหรือฐานานุรูปของตน หากไม่สามารถเสียค่าปรับตามที่กล่าวมา ผู้ถอนคำสาบานจำต้องถือศีลอดเป็นเวลา 3 วัน (ตามเงื่อนไขของการถือศีลอด โดยตั้งเจตนาว่าตนถือศีลอด กัฟฟาเราะฮฺ และการตั้งเจตนานี้จำต้องกระทำในช่วงเวลากลางคืนเหมือนการถือศีลอดที่จำเป็น) โดยการถือศีลอด 3 วันติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม (อิอานะตุตตอลีบีน อัซซัยยิด อัลบักรีย์, เล่มที่ ๔/๓๖๗ , สำนักพิมพ์ดารุ้ลฟิกร์ , ค.ศ.1993)

           อนึ่งการเสียค่าปรับ (กัฟฟาเราะฮฺ) เนื่องจากการถอนคำสาบานนั้น ผู้ถอนคำสาบานสามารถกระทำได้ด้วยตัวเอง โดยไม่ต้องอาศัยผู้รู้ทางศาสนามาประกอบพิธีแต่อย่างใด

           กรณีการสาบาน (Sumpah) ขาดองค์ประกอบหลักตามเงื่อนไขที่ระบุข้างต้น ถือว่า การสาบานนั้นเป็นโมฆะ (Invalid) และไม่มีผลอันใดติดตามมา ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการให้ปากคำ ของผู้ต้องหาที่มีส่วนร่วมในขบวนการก่อความไม่สงบทางภาคใต้ในชั้นต้น โดยพิจารณาดังนี้

  • ก. หากผู้สาบานให้การสารภาพในชั้นต้นว่า ตนถูกบังคับให้สาบานโดยขาดความสมัครใจ การสาบานนั้นย่อมเป็นโมฆะ จึงไม่มีผลอันใดติดตามมา ไม่ว่าจะเป็นการผิดคำสาบานหรือการเสียค่าปรับ เพราะการสาบานของผู้ถูกบังคับนั้นไม่เป็นผลในเบื้องต้นอยู่แล้วตามหลักการศาสนา (อัลบัยญูรีย์ เล่มที่ ๒/๕๘๕ สำนักพิมพ์ดารุ้ลกุตุ้บ อัลอิลมียะฮฺ (เบรุต) ค.ศ.1999/ มัตละอุ้ลบัดรอยนฺฯ, มุฮำมัด อิบนุ อิสมาอีล ดาวุด อัลฟาตอนีย์, หน้า ๒๑๑, สำนักพิมพ์มุฮำมัด อันนะฮฺดีย์ ม.ป.ป.)
  • ข. หากสอบปากคำผู้ต้องสงสัยแล้วได้ความว่า สำนวนในการสาบานมีรูปประโยคว่า “ข้าพเจ้าขอสาบานว่าจะไม่เปิดเผยความลับกับคนที่มิได้ร่วมขบวนการ หากข้าพเจ้าเปิดเผยความลับแล้ว ถือว่าข้าพเจ้าเป็นบุคคลนอกศาสนา (ตกศาสนา)” เป็นต้น การสาบานด้วยสำนวนทำนองนี้ไม่ถือเป็นการสาบานตามเงื่อนไขที่ถูกกำหนดไว้ จึงไม่มีการเสียค่าปรับ (กัฟฟาเราะฮฺ) ในการผิดคำสาบานแต่อย่างใด ทั้งนี้การใช้สำนวนตามรูปประโยคข้างต้นถือเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) จึงสมควรกล่าวคำปฏิญาณตน (อัชชะฮาดะฮฺ) “ลาอิลาฮะอิ้ลลัลลอฮฺ มุฮำมัด ร่อซูลุ้ลลอฮฺ” และขอลุแก่โทษ (อิสติฆฟ๊าร) ต่อพระองค์อัลลอฮฺ (ซุบบาฮานาฮุวะตะอาลา) (กิฟายะตุ้ลอัคย๊ารฯ , อัลฮุซอนีย์ หน้า ๕๔๒ สำนักพิมพ์ดารุ้ลคอยฺร์ (เบรุต) ค.ศ.1991)
  • ค. กรณีการก่อความไม่สงบด้วยการประทุษร้าย , การละเมิดในชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น การทำลายสาธารณูปโภคและการประกอบอาชญากรรมทุกรูปแบบถือเป็นสิ่งต้องห้าม (ฮะรอม) ตามหลักการของศาสนา ดังนั้นการสาบานเพื่อกระทำการดังกล่าว ศาสนาถือว่าผู้สาบานเช่นนั้นได้ฝ่าฝืนหลักนิติธรรมและเป็นผู้ประพฤติชั่ว (ฟาซิก) ผู้สาบานนั้นจำต้องผิดคำสาบาน (กล่าวคือ จะกระทำการตามคำสาบานนั้นมิได้โดยเด็ดขาด) และจำต้องเสียค่าปรับเพื่อไถ่ถอนความผิด (อัลบัยญูรีย์ อะลาชัรฮิ้ลอัลลามะฮฺ อัลกอซิม อัลฆอซซีย์, เล่มที่ ๒/๕๘๖, ฟัตฮุ้ลวะฮฺฮาบ บิชัรฮิ มินฮะญิตตุ้ลล๊าบ, ชัยคุ้ลอิสสลาม อบียะฮฺยา ซะกะรียา อัลอัน ซอรีย์ เล่มที่ ๒/๒๔๔, สำนักพิมพ์ดารุ้ลฟิกร์ (ไคโร) ค.ศ.1994)
           และการให้ความร่วมมือในการสืบสวนคดีอาชญากรรมสะเทือนขวัญเพื่อหาผู้กระทำผิดตลอดจนการมีส่วนร่วมในการสร้างความสันติสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินถือเป็นภารกิจจำเป็น (วาญิบ) ตามหลักการของศาสนา ดังนั้นการสาบานว่าจะไม่กระทำสิ่งที่เป็นภารกิจจำเป็น (วาญิบ) หรือเข้าข่ายละทิ้งหน้าที่ จึงถือว่าผู้สาบานได้ฝ่าฝืนหลักคำสอนของศาสนาและถือเป็นผู้ประพฤติชั่ว (อัลอาซีย) ด้วยคำสาบานเช่นนั้น และจำต้องผิดคำสาบาน (กล่าวคือ จะละทิ้งหน้าที่อันเป็นภารกิจทางศาสนามิได้) และจำต้องเสียค่าปรับเพื่อไถ่ถอนความผิดนั้นด้วย (มุฆนีย์อัลมุฮฺต๊าจฺญ์, อัลค่อตีบ อัชชัรบีนีย์ , เล่มที่ ๖/๑๘๙ สำนักพิมพ์ ดารุ้ลกุตุบอัลอิลมียะฮฺ (เบรุต) ค.ศ.1994/อัลอิกนาอฺ ฟี ฮัลลี่ อัลฟ๊าซฺ อบีชุญาอฺ, อัลค่อตีบ อัชชัรบีนีย์ เล่มที่ ๒/๕๘๙, สำนักพิมพ์ ดารุ้ลกุตุบอัลอิลมียะฮฺ (เบรุต) ค.ศ.1994)
  • ง. หากพิจารณาไตร่ตรองดูแล้วว่าการผิดคำสาบานเป็นสิ่งที่เกิดประโยชน์มากกว่า การรักษาคำสาบาน ถือว่าการผิดสาบานนั้นเป็นเรื่องที่อนุญาตให้กระทำได้ทั้งนี้เพราะเป็นการ ไม่สมควรที่จะนำเอาการสาบานมาเป็นสิ่งกีดกั้นมิให้กระทำความดีและการประนีประนอม (สมานฉันท์) (ฟิกฮุซซุนนะฮฺ, ซัยยิดซาบิก เล่มที่ ๒/๙๗ สำนักพิมพ์ดารุ้ลฟัตฮฺ (ไคโร) ค.ศ.1996)

เขียนโดย อ.อาลี เสือสมิง

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม