วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

จากสงครามฝิ่นแผ่นดินจีนถึงน้ำกระท่อมมอมเมาเยาวชน กับเหลือบนกพิราบที่ต้องจับตา

จากสงครามฝิ่นแผ่นดินจีนถึงน้ำกระท่อมมอมเมาเยาวชน 
กับเหลือบนกพิราบที่ต้องจับตา



        การรับรู้ความเป็นไปของสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของคนทั่วไปทั้งใน พื้นที่สามจังหวัดและพื้นที่อื่นของประเทศรวมถึงประชาคมโลกนั้น  หากไม่ใช่ผู้ที่ประสบเหตุด้วยตนเองเฉกเช่นคนในพื้นที่แล้ว  ล้วนได้รับข่าวสารผ่านทางสื่อมวลชนแขนงต่างๆ ทั้งสิ้น  ซึ่งที่ผ่านมาในประเด็นของการนำเสนอทั้งทิศทางของความรุนแรง  ความน่าสะพรึงกลัวหวาดหวั่น  ขวัญกำลังใจในการดำรงชีวิตอยู่ในพื้นที่ของประชาชน  หรือในแง่ความร่วมมือร่วมใจในการสร้างสันติสุข  ความเบื่อหน่ายของประชาชนจากการก่อเหตุของขบวนการ  หรือการวิพากษ์วิจารณ์ตามความคิดของตนเองโดยเหล่านักเขียนคอลัมนิสต์ต่างๆ  ที่สื่อออกไป  ล้วนสร้างการรับรู้ในมุมมองที่หลากหลายทั้งที่ถูกต้องและไม่ถูกต้องให้แพร่ กระจายผ่านสื่อของตนไปสู่กลุ่มเป้าหมายต่างๆ ซึ่งเป็นผู้รับสารได้อย่างรวดเร็ว  โดยเฉพาะสื่อที่เผยแพร่ทางอินเตอร์เน๊ตที่มีเป็นจำนวนมากไม่สามารถตรวจสอบ ที่มาที่ไปของผู้นำเสนอได้

          และเมื่อตรวจสอบไม่ได้  “ท่านที่อ้างตัวว่าเป็นสื่อเหล่านั้นจึงมีเสรีที่จะนำเสนอในทุกเรื่องทุกประเด็นโดยไม่ต้องคำนึงถึงผลกระทบใดๆ”

จึงปฏิเสธไม่ได้ ว่า  ภายใต้แรงขับเคลื่อนของสื่อนั้นหากนำเสนออย่างถูกต้องตรงไปตรงมาก็จะเป็น ประโยชน์ต่อผู้รับสารในการได้รับข้อมูลที่ผ่านการวิเคราะห์เพื่อนำเสนออย่าง ถูกต้อง  และถ้าเป็นข่าวสารที่มุ่งสร้างความร่วมมือสร้างความรักความสามัคคีของคนใน พื้นที่  ข่าวนั้นจะเป็นส่วนสนับสนุนสำคัญที่จะช่วยระดมสรรพสิ่งที่เป็นตัวแปรให้เกิด ความสงบสันติได้  แต่หากเป็นการนำเสนอโดยมุ่งหวังให้เกิดภาพลบ  แอบแฝงไว้ด้วยเจตนาที่จะทำลายความน่าเชื่อถือในกลุ่มคนหรือบุคคลโดยใช้ สถานการณ์ภาคใต้ที่หาทางออกได้ยากยิ่งนี้ล่ะ  เรื่องแบบนี้ย่อมส่งผลเลวร้ายกว่าที่คิด

 และแน่นอนว่าสื่อใดๆ ที่ประพฤติเยี่ยงนั้นย่อมมีความเลวร้ายยิ่งกว่า

เมื่อวานนี้ได้เห็นสื่อที่นำเสนอทางเว็บไซต์ชื่อภาษาอังกฤษที่อยู่ในจังหวัดชายแดนภาคใต้  ที่แปลตรงๆ ตัวได้ว่า “จับตาดูภาคใต้” นำเสนอบทความชื่อตอน “จากสงครามฝิ่นแผ่นดินจีน ถึง(สงคราม)น้ำกระท่อมแผ่นดินปาตานี” ซึ่ง เมื่ออ่านเนื้อหาโดยรวมแล้วในฐานะที่อยู่กับงานเขียนมาพอสมควรต้องขอชมเชย ว่าผู้เขียนมีการนำเสนอได้อย่างน่าสนใจ ใช้สำนวนภาษาและข้อมูลประกอบได้อย่างน่าเชื่อถือ  ซึ่งนั้นเป็นคุณสมบัติของนักเขียนที่ดี  แต่เมื่อพิจารณาถึงเนื้อหาที่นำเสนอออกมาแล้วต้องตกใจ  ที่ว่าตกใจในที่นี่มิได้ตกใจว่าสถานการณ์ยาเสพติดประเภทน้ำกระท่อมในบ้านเรา บานปลายไปจนยากจะแก้ไข  แต่ตกใจที่ผู้เขียนท่านนั้นได้ใช้ภาวะภัยแทรกซ้อนของยาเสพติดซึ่งเป็นส่วน หนึ่งที่ส่งผลถึงปัญหาความไม่สงบในพื้นที่มาใช้ในการกล่าวหาหน่วยงานที่มี หน้าที่ในการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่ซึ่งในความหมายที่พยายามสื่อออก มานั้น ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหมายถึงหน่วยงานใด 
แต่ที่แน่ๆ การกล่าวอ้างนำเสนอเพียงด้านเดียวแบบนี้ย่อมมิใช่วิสัยของสื่อที่มีจรรยาบรรณ
ยิ่งกว่านั้นยังอ้างอิงในลักษณะ “จับแพะชนแกะ” ถึงเหตุการณ์สงครามฝิ่นในประเทศจีนว่ามีความคล้ายคลึงกัน ตบท้ายด้วยการเรียกร้องให้เยาวชน (ซึ่งกำลังเมาน้ำกระท่อม) ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อบ้านเมือง ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าเรื่องของปัญหายาเสพติดกับการลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อปาตานีจะถูกดึงมาเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร

แต่ถ้าจะกล่าวว่ามีบางกลุ่มใช้ยาเสพติดมอมเมาเยาวชนให้ฮึกเหิมแล้วลุกขึ้นมาต่อสู้น่าจะฟังแล้วเข้าใจง่ายกว่า 

ว่าไปแล้วปัญหายาเสพติดโดยเฉพาะน้ำกระท่อมหรือที่เอาส่วนผสมอื่นๆ มาใส่เพิ่มเติมจนเรียกว่า “สี่คูณร้อย”นั้นเป็นปัญหาที่ทุกฝ่ายให้ ความสำคัญและพยายามแก้ไขมาโดยตลอด บทบาทหลักเท่าที่เห็นก็หนีไม่พ้นหน่วยงานภาครัฐกับผู้นำศาสนาที่ร่วมมือกัน อย่างเหนียวแน่น แต่ด้วยผู้ที่เสพติดส่วนใหญ่เป็นเยาวชนซึ่งเมื่อเห็นเพื่อนเสพก็เกิดความ อยากลอง  และเมื่อเกิดการเสพติดแล้วการแก้ไขปัญหาด้วยการบำบัดเพียงอย่างเดียวจึงเป็น การแก้ที่ปลายเหตุ  ดังนั้นการให้ความรู้ถึงโทษภัยโดยผู้ที่เกี่ยวข้อง  เริ่มตั้งแต่คนในครอบครัว ครูอุสตาช ผู้นำศาสนาหรือแม้แต่เพื่อนๆ จึงเป็นเรื่องที่ต้องกระทำ  ไม่ปล่อยให้เป็นภาระของหน่วยงานเพียงลำพัง 


หรือแม้แต่องค์กร ที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนสังคม สามารถชี้นำโดยการให้ความรู้  การรณรงค์หรือการจัดกิจกรรมที่สร้างสรรค์เพื่อเยาวชนรุ่นต่อไปให้เติบโต อย่างมีคุณค่าเช่น องค์กรนักศึกษาในพื้นที่ ก็สามารถมีส่วนร่วมในการแก้ปัญหานี้ได้ด้วยเช่นกัน  แต่เท่าที่เห็นปัญหานี่ยังถูกละเลยจากปัญญาชนคนหนุ่มสาวที่นี่  คงเห็นเพียงกิจกรรมทางการเมืองอื่นๆ ที่เขาและเธอเหล่านั้นมักร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคมบางองค์กรที่ใช้พลังนัก ศึกษาเรียกร้องในสิ่งที่องค์กรนั้นๆ ต้องการโดยเยาวชนเหล่านั้นมิได้เฉลียวซักนิดด้วยคิดว่าได้ทำในสิ่งที่ถูก ต้อง  น่าเสียดายที่หากได้ใช้พลังนี้ตามบทบาทที่เหมาะสมและควรจะเป็นแล้วน่าจะเกิด ผลดีต่อพื้นที่ในหลายด้านไม่มากก็น้อย  และปัญหาน้ำกระท่อมอาจกลายเป็นปัญหาที่แก้ได้อย่างไม่ยากนัก

จากบทความที่กล่าว ข้างต้นซึ่งผู้เขียนอ้างว่าเป็นผู้ประสานงานเครือข่ายเยาวชนนักศึกษาเพื่อ พิทักษ์ประชาชนซึ่งหากเป็นจริงผู้เขียนท่านนั้นคงเป็นนักศึกษาและคงทราบดี ถึงรากเหง้าของปัญหาน้ำกระท่อมในพื้นที่ดีว่ามีมาอย่างยาวนานก่อนเหตุการณ์ ความรุนแรงจะปะทุขึ้น การนำข้อมูลจากที่นั้นนิดที่นี่หน่อยมาประติดประต่อกันแล้วสรุปเอาข้างเดียว ว่าเพราะส่วนนั้นหน่วยนี้เป็นต้นเหตุและมีวัตถุประสงค์ทำลายเยาวชนโดยมิได้ ตระหนักถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาจึงไม่น่าจะยุติธรรม  นอกเสียจากว่าท่านผู้เขียนจะมีเจตนาสื่อถึงอย่างนั้นจริงๆ

ความพยายามใดๆ ที่จะชี้นำประชาชนโดยใช้วาทะกรรม การติดอาวุธทางความคิดให้กับประชาชน นั้นสามารถทำได้ในทางสร้างสรรค์  เช่น การให้ความรู้ในการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกัน  หรือการยอมรับในวิถีและความเชื่อที่แตกต่างจะช่วยให้บรรยากาศความรักความ สามัคคีมีมากยิ่งขึ้นมิใช่หรือ   การเรียกร้องให้ประชาชนรักแผ่นดินถิ่นเกิด  ลุกขึ้นมาต่อสู้กับยาเสพติดเพื่อแผ่นดินของตนมิใช่สิ่งผิด  แต่การเรียกร้องให้เยาวชนซึ่งจะเป็นผู้ใหญ่รุ่นต่อไปลุกขึ้นมาต่อสู้ในความ หมายของผู้เขียนท่านนี้มิใช่เท่ากับเป็นการเร่งให้แผ่นดินนี้ลุกเป็นไฟหรือ  ทุกวันนี้ประชาชนยังเดือดร้อนไม่พอกันหรืออย่างไร  ประชาชนส่วนใหญ่จะอยู่ได้อย่างไร  ผู้เขียนขอฝากคำถามนี้ไปยังพี่น้องประชาชนทุกท่านเพราะพลังของประชาชนเท่า นั้นที่จะดับไฟที่รุมเร้าแผดเผาพื้นที่จังหวัดชายแดนแห่งนี้อยู่ทุกเมื่อ เชื่อวัน

ฝากถึงกองบรรณาธิการสำนักข่าว “จับตาดูภาคใต้” ด้วยว่าควรได้พิจารณาซักนิด  เรื่องนี้มิใช่เพียงเป็นการเปิดโปงตัวตนที่ แท้จริงของใครบางคนเท่านั้น  แต่เป็นการเปิดโปงทิศทางและคุณภาพการทำหน้าที่ในฐานะสื่อของสำนักข่าวของ ท่านด้วย   
      
พิราบแดนใต้
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม