วันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2555

รู้ทัน ลัทธิประหลาด

รู้ทัน 'ลัทธิประหลาด'


           ห้วงเวลานี้ถ้าใครได้มี โอกาสอ่านหนังสือพิมพ์ หรือบทวิจารณ์ของสื่อเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียแล้ว คงจะหนาว และคงคิดว่าพื้นที่นี้กำลังเกิดสงคราม เพราะมีเหตุเกิดกันตั้งแต่ลอบวางระเบิดทหาร ตลาดร้านค้า ลอบยิงลอบฆ่าผู้คนทั่วไป และยิ่งมาล่าสุดการยิงถล่มรถตู้ และจ่อยิงผู้โดยสารอย่างน่าสลดใจที่สุด ทำให้เหตุการณ์ดูร้ายแรง และทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้น

           ความรุนแรงที่ดูเหมือนเพิ่มขึ้นนั้น ถ้าจะว่ากันจริงๆ แล้วไม่มีอะไรรุนแรงกว่าเดิม หรือเพิ่มขึ้นจริงๆ หรอก เพราะระเบิดยังมีอยู่ ฆ่ารายวันยังมีอยู่ แต่ที่รู้สึกตระหนกกว่าเดิมๆ ก็คือ ความมีเหตุผลน้อยลงของการก่อเหตุ หมายถึงว่า ถ้าเราได้ยินข่าวว่าเกิดเหตุระเบิดรถทหารตำรวจ หรือซุ่มยิง เสียชีวิต 3 บาดเจ็บ 5 คน ก็คงพอรับกันได้ เพราะถือว่าผู้ก่อเหตุมีเป้าหมายต่อสู้กับอำนาจรัฐเป็นหลักและถือว่าสมน้ำสม เนื้อเพราะต่างฝ่ายต่างถืออาวุธ ยังพอรับกันได้

           ตรงจุดนี้แหละที่ว่ามันรุนแรงเข้มข้นจากความรู้สึก ไม่ใช่ข้อเท็จจริงเพียงอย่างเดียว

           ประเด็น ขบวนการที่เรียกว่า 'แบ่งแยกดินแดน' ว่าคิดอย่างนั้น ว่าคิดอย่างนี้ และยังมีกลุ่มที่ผู้เขียนเรียกว่า 'ขบวนการลัทธิประหลาด' และกลุ่มคนที่ออกมาปฏิบัติการในวันที่ 28 เมษายน 2547 ที่เรียกกันติดปากว่า 'กรณีมัสยิดกรือเซะ' ว่านี้แหละคือการจัดตั้งของขบวนการลัทธิประหลาด

         ลองพิจารณา เอกสารที่ชื่อ 'เบอร์ญิฮาด ดิ ปาตานี' อย่างจริงจัง แล้วลองนำไปเทียบเคียงกับเอกสารที่ใช้ฝึกใช้สอนกลุ่มคนในส่วนอื่นๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็น อัฟกานิสถาน อินโดนีเซีย มาเลเซีย ทัศนะที่อธิบาย โองการของคัมภีร์อัลกรุอาน ตลอดจนวิธีปฏิบัติตัวของสมาชิก แทบจะพูดได้ว่า มันอยู่ในแบบเดียวกัน

          กล่าวสำหรับแนวคิดเช่นนี้ ย่อมมีที่ไปค่อนข้างยาวไกลเช่นกัน แต่ขอกล่าวเฉพาะที่ตั้งเป็นประเด็นตอนต้น ทำไมถึงเชื่อมโยงกับบ้านเราได้ เพราะในช่วงที่เกิดการรุกรานอัฟกานิสถานโดยขั้วมหาอำนาจรัสเซีย ส่งผลให้มีการเคลื่อนไหวของกลุ่มมุสลิมต่างๆ ทุกมุมโลก รวมทั้งขบวนการฯ ในสามจังหวัดชายแดนไทยด้วย และมีอินโดฯ มาเลย์ ไปช่วยรบ ไปรวมกลุ่มกันเป็นพวกพ้อง เป็นเครือข่าย และนำกลับมาซึ่งความคิดการจัดตั้งมวลชนในสโลแกนใหม่ คือ

          'การกำชับการดีและห้ามปรามความชั่ว' ซึ่งวางอยู่บนพื้นฐานการปฏิบัติด้วยรูปแบบ 3 ประการ คือ
  •  1) ปฏิบัติด้วยมือ ตามสำนวนอาหรับ มือในที่นี้ให้นัยหมายถึง กำลัง
  •  2) ปฏิบัติด้วยการพูด หมายถึง การห้ามปรามด้วยการพูด การเตือนสติ
  •  3) ปฏิบัติด้วยสำนึกในใจ หมายถึง การตำหนิในจิตใจตัวเอง คือเตือนสติตัวเองไม่ให้เห็นพ้อง หรือ เฉยเมย อย่างน้อยต้องตำหนิด้วยหัวใจ ซึ่งเป็นการต่อต้านที่อ่อนแอที่สุด

          ซึ่งวาทกรรมนี้เป็นโองการที่มีอยู่ในคัมภีร์อัลกรุอาน และถูกอธิบายขยายความโดยบทวัจนะของท่านศาสดา (ศ็อลฯ) ที่กล่าวถึง "การกำชับการดี และห้ามการการชั่วนั้น ดีที่สุดด้วยมือ และการพูดและที่อ่อนแอที่สุดคือ ด้วยเพียงหัวใจ"

          แต่ตลอดหน้า ประวัติศาสตร์ ท่านศาสดาไม่เคยห้ามปรามความชั่วร้ายด้วยการไปทำลายตัวตนของความชั่วร้ายเลย หมายถึงว่า การอธิบายการปฏิบัติด้วยมือของศาสดานั้น ไม่ใช่การทำลายล้าง แต่หมายถึงใช้วิถีทาง ใช้กำลังสติปัญญา ใช้หนทางทางการเมือง หรือหนทางใดๆ ที่จะหยุดความชั่วร้าย เช่น การสร้างกฎหมายควบคุม มีกระบวนการพิจารณคดี มีการพิพากษาลงโทษ แต่ไม่ใช่การเห็นความชั่วร้ายทั้งหลายเป็นศัตรูที่ต้องลงมือทำลายด้วยตนเอง เหมือนเช่นที่เราอาจได้ยิน คนที่วางระเบิด สถานบันเทิงหรือซ่องโสเภณี เพียงเพราะว่ามันเป็นสิ่งชั่วร้ายที่จะต้องทำลาย และเป็นภาระหน้าที่ของทุกคนที่จะต้องทำลายมัน ใครทนอยู่ และมองดู หรือปล่อยให้ความชั่วร้ายเหล่านี้มีอยู่ในสังคม ถือว่าเป็นบาป และบาปอันนี้ หากตัวเราเองอ่อนแอ ไม่สามารถต่อสู้ได้

         แต่หากมีผู้อื่นกระทำแทน ได้ และขอให้เราเป็นเพียงผู้สนับสนุน ก็ถือได้ว่าเราได้ปฏิบัติตามบัญญัติดังกล่าวแล้ว พ้นผิดต่อพระผู้เป็นเจ้า พ้นบาปไม่ต้องรับโทษทัณฑ์ใดๆ แล้ว นี่คือวาทกรรมของขบวนการลัทธิประหลาด ที่ผู้เขียนพูดถึงมาตลอด และพยายามแยกแยะให้เห็นว่า มันแตกต่างจากขบวนการแบ่งแยกดินแดนในอดีต ขบวนการต่อสู้ในอดีต ไม่ได้ขับเคลื่อนโดยวาทกรรมเหล่านี้เป็นหลัก และการขอแยกดินแดน หรือใช้รูปแบบการปกครองที่แตกต่างกันนั้น มันก็มีที่มาที่ไปที่สมเหตุสมผลในแต่ละยุค แต่ละสมัยเหล่านั้น

          หากกล่าว ถึงวันนี้ กำลังพล 108 ชีวิต ที่จะต้องมาจบชีวิต ด้วยการต่อสู้ในวันที่ 28 เมษายน 2547 นั้น เป็นกระบวนการสร้างทางจิตใจอีกแบบหนึ่ง ที่ไม่มีเงื่อนไขทางการเมืองของขบวนการแยกดินแดน และถูกปฏิเสธโดยผู้มีบทบาทสำคัญของทั้งกลุ่มพูโล บีอาร์เอ็น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มไหนๆ ก็ตาม 

          วันนี้ หากฝ่ายรัฐยังคงวางน้ำหนักการปฏิบัติการทั้งหลายที่เกิดขึ้น ว่าคือขบวนการแบ่งแยกดินแดน ไม่ว่าจะเรียก บีอาร์เอ็นโคออดิเนท หรือกลุ่มอะไรก็ตาม เท่ากับรัฐยังหลงทางกับข้อเท็จจริง และยิ่งไปกันใหญ่เสียอีก

         กล่าวสำหรับวันนี้ รัฐต้องแยกการปฏิบัติการหรือเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นมาจาก สองหรือสามแหล่ง และแต่ละแหล่งก็ไม่ขึ้นตรงต่อกันเด็ดขาดมากนัก มีการเชื่อมกันบ้างในบางแนว เพื่อให้ดูเหมือน หรือคล้ายๆ จะมีเป้าหมายเดียวกัน ทั้งที่ความจริงในแต่ละกลุ่ม มีการใช้จ่ายเงินของสมาชิกกลุ่มแตกต่างกันมาก ฟากฝั่งจังหวัดยะลา จะมีทุนหมุนเวียนมากหน่อย เพราะควบคุมปฏิบัติหลากหลายและหลายครั้ง ตลอดทั้งการจัดตั้งในกลุ่มยะลา ค่อนข้างเหนียวแน่นกว่าที่อื่น
หน่วยข่าวระบุ 'มะแซ อุเซ็ง' แกนนำโจรใต้ป่วยหนัก
         หาก วันนี้รัฐไม่โยนบาปทุกเรื่องให้แต่เพียงขบวนการแยกดินแดน และหันมาสนใจกลุ่มลัทธิประหลาด ให้มากขึ้น คลำหาต้นตอของนโยบาย และคำสั่งทั้งหลาย ว่ามาจากไหน? ใครสั่งใครสร้างใครเลี้ยงโจรใต้ น่าจะเป็นหัวข้อที่ถกเถียงเป็นประเด็นกันบ้างก็ดีไม่น้อย และถ้าได้ข้อสรุปเช่นเดียวกับที่ผู้เขียนสรุป ฝ่ายรัฐก็จะสามารถพลิกฟื้นสถานการณ์ได้อย่างพลิกฝ่ามือเช่นกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องซับซ้อนอะไรมาก

         เพียงแค่ทำให้สังคมทั้งสังคมรับรู้ อย่างจริงๆ จังๆ และเป็นระบบว่า กลุ่มที่ทำความเสียหายอยู่ทุกวันนี้ ไม่มีระบบระเบียบขอบศาสนาใด ๆ ไปเกี่ยวข้อง พวกเขาเชื่อ และคิดตามไปกับผู้จัดตั้งพวกเขา ไม่ว่าจะมีความรู้ในศาสนาเพียงใดหรือไม่

         นอกจากนี้กลุ่มฯ ยังจะมีแนวคิดคับแคบแล้วก็ตาม แต่เงินทุนก็เป็นปัจจัยหลักเช่นเดียวกัน เพราะทุกครั้งที่ออกปฏิบัติการ คนเหล่านี้จะต้องดื่มน้ำผสมตัวยาบางอย่าง เหมือนเช่นที่เคยได้ยินคำบอกเล่าของผู้รอดชีวิตจากเหตุการณ์มัสยิดกรือเซะ และพฤติกรรมเหล่านี้ก็ยังคงปฏิบัติกันอยู่ในหน่วยพิเศษ ที่มันพิเศษ เพราะมีหน้าที่ลอบยิงลอบฆ่าในแบบพิเศษๆ เท่านั้น ปฏิบัติการที่นอกเหนืออุดมการณ์ เช่น ยิงแล้วเผา หรือฆ่าตัดคอชาวบ้านธรรมดาๆ

          และสิ่งเดียวที่รัฐต้องตระหนักรู้ที่ สุด เพราะถ้ารัฐรู้จักเอกสารนี้อย่างแท้จริง ก็จะคิดค้นหายุทธศาสตร์ยุทธวิธีเอาชนะได้ไม่ยาก อย่าได้ดูแคลนเป็นอันขาด เพราะมุสลิมในอิรักผูกระเบิดติดตัวเดินเข้าไปในมัสยิดเพื่อกดระเบิดฆ่า มุสลิมด้วยกันในบ้านของพระผู้เป็นเจ้า
 
         วันนี้ที่บ้านเราอาจดูเหมือนจะ กระทำกันแต่ระหว่างพุทธ กับมุสลิมเท่านั้น แต่ข้อเท็จจริงจำนวนชาวบ้านธรรมดาที่ไม่ใช่เจ้าหน้าที่รัฐนั้น ปรากฏว่ามุสลิมตายมากกว่า และพวกเขาตาย เพราะถูกหาว่าเป็น มุนาฟิก ผู้ทรยศ

         และฝ่ายรัฐ ฝ่ายความมั่น คงติดยึดและหลงไปใน 'มายาการแยกดินแดน' และเสพติดกับข่าวขบวนการแบ่งแยกดินแดน จนไม่อาจมองเห็นความจริงที่ซ่อนอยู่ ผู้เขียนขออนุญาตตั้งข้อสังเกตให้เลยว่า ถ้าซักไซ้ไล่เลียงกันจริงๆ จัง ในบรรดาแนวร่วมทั้งหลายที่ถูกเรียกตัวมาสอบสวน และยอมรับสารภาพกัน ลองถามพวกเขาดูว่า

             1) ถูกจัดตั้งกันด้วยวิธีใด?
             2) การสาบานหรือซุมเปาะเข้ากลุ่มเข้าขบวนการฯ กันนั้น ทำกันอย่างไร?
 
         ฟันธงได้เลยว่า มีข้อแตกต่างกันอย่างแน่นอน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกที่มาจากกลุ่มลัทธิประหลาด ก็จะมีการจัดตั้งการสาบานที่แตกต่างห่างไกลขบวนการแยกดินแดนไปอีก 
    
        พอมาถึงตรงนี้ จะได้หายมึนหายงง แล้วแยกแยะประเภทต่างๆ ได้ แบ่งกลุ่มแบ่งพวก แยกวิธีการ แยกกลยุทธ์ของแต่ละกลุ่ม แต่ละส่วน ได้ชัดเจนขึ้น จะได้หาวิธีจัดการที่แตกต่างกันได้ เพราะศึกนี้ต้องทำด้วยมือ ไม่ใช่บะหมี่สำเร็จรูป

         ความจริงก็ขำไม่ออก พูดแล้วเหนื่อย ฝ่ายรัฐสู้กันมา เสียงระฆังหลายยกแล้ว แต่ยังไม่เห็นหน้าคู่ชกเลย แล้วมันชกกันตั้งนานยังไงของมัน??
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม