โดย ‘อิมรอน’
เมื่อ 23 มกราคม 2558 เวลา18.00 น. คนร้ายไม่ทราบกลุ่มและจำนวนได้ทำการก่อเหตุต่อหน้าคนจำนวนมากที่พลุกพล่านกำลังจับจ่ายซื้อสินค้าในตลาดนัดด้วยการใช้อาวุธปืนยิงเจ้าหน้าที่ อส. เหตุเกิดภายในตลาดนัดบาโล๊ะ ม.3 ต.บาโงย อ.รามัน จ.ยะลา ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 2 นาย คือ อาสาสมัคร อิสมะแอ วายูโซ๊ะ อายุ 23 ปี อาสาสมัคร รอพา มะ อายุ 31 ปี และมีประชาชนได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 1 ราย คือ นางสาวไซตง แวโด๊ะ อายุ 27 ปี
หลังก่อเหตุคนร้ายได้โปรยตะปูเรือใบเพื่อทำการหลบหนีไม่ให้เจ้าหน้าที่ติดตาม พร้อมทั้งได้แย่งชิงอาวุธปืนของผู้เสียชีวิตไปด้วยจำนวน 2 กระบอก โดยที่อาวุธปืนที่คนร้ายได้ไปมี Ak-102 และ Hk-33
เหตุการณ์ในครั้งนี้ขอประณามได้เลยว่า เลว โหดเหี้ยมที่สุด แม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ทั้งสองนายจะเป็นพี่น้องมลายูผู้ศรัทธาและเคร่งต่อหลักศาสนาอิสลามก็ตามที กลับกระทำกันได้อย่างลงคอโดยไม่มีการละเว้น พี่น้องมลายูปาตานีทุกท่านจงตั้งข้อสังเกตว่าการกระทำดังกล่าวของกลุ่มขบวนการ ทำไปเพื่ออะไร? เพื่อใคร? แล้วทำไม? จึงต้องลงมือเข่นฆ่าพรากชีวิตผู้คนไปจากลูกเมียและครอบครัวอันเป็นที่รักคนแล้วคนเล่า มิหนำซ้ำยังปล้นอาวุธปืนไปด้วยเพื่อนำไปใช้ในการก่อเหตุฆ่าผู้คนอย่างมิหยุดหย่อน
เชื่อเหลือเกินว่าผู้อ่านทุกท่านมีสามัญสำนึก มีความรู้สึกผิดชอบชั่วดี มีปัญญาในการไตร่ตรองและตัดสินได้ว่าใครคือผู้ก่อความเดือดร้อน สร้างปัญหาให้กับพี่น้องประชาชน อย่าหลงตามกระแสเชื่อข่าวลือเป็นอันขาด เพราะหลังจากการก่อเหตุแทบทุกครั้ง กลุ่มขบวนการมักจะมีการโยนความผิดใส่ร้ายป้ายสีอยู่เสมอ
ในห้วงระยะนี้หากเราได้ติดตามข่าวสารจากการนำเสนอข่าวของสื่อจะเห็นได้ว่าเจ้าหน้าที่รัฐได้ปฏิบัติงานเชิงรุกควบคู่งานการเมืองสร้างความเข้าใจต่อพี่น้องประชาชนปาตานี อีกทั้งยังได้ดำเนินการตามนโยบายทุ่งยางแดงโมเดลเพื่อให้ภาคประชาชนได้เข้ามามีบทบาทส่วนร่วมในการดูแลความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนด้วยกันเอง โดยมีเจ้าหน้าที่รัฐคอยเป็นพี่เลี้ยงคอยช่วยเหลืออยู่ห่างๆ
ในส่วนของการแจ้งเบาะแส ข่าวสารจากประชาชนนับได้ว่าหน่วยงานภาครัฐได้รับความร่วมมือจากผู้ที่หวังดี ผู้ที่ไม่ต้องการความรุนแรง ส่งผลให้การดำเนินการติดตามจับกุมตัวผู้ก่อเหตุรุนแรง รวมทั้งผู้ต้องสงสัยในการก่อเหตุได้จำนวนหลายสิบรายในห้วงที่ผ่านมา และเมื่อมีการซักถามขยายผลยิ่งสาวยิ่งลึกได้ข้อมูลที่เอื้อประโยชน์นำไปสู่การทลายฐานพักพิงโจรใต้ฟาตอนี ตรวจค้นแหล่งที่ซุกซ่อนอาวุธปืน ชี้จุดการขุดเจาะหลุมระเบิด รวมทั้งได้ทราบข้อมูลการจัดโครงสร้างองค์กรผู้ที่รับผิดชอบในการเคลื่อนไหวแต่ละพื้นที่
ปัจจุบันนี้ผู้ต้องสงสัยซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวนำมาซักถามขยายผลมีจำนวนไม่น้อยได้ยอมรับสารภาพว่าเป็นผู้ก่อเหตุในคดีสำคัญๆ หลายรายด้วยกัน เป็นนัยหรือเป็นสิ่งบอกเหตุอะไรบางอย่างที่บุคคลเหล่านี้ให้การยอมรับเพื่อต้องการเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม อาจจะเป็นเพราะความเบื่อหน่ายต่อขบวนการที่หลอกใช้งานแล้วทำการลอยแพสมาชิกแนวร่วม อีกอย่างกลุ่ม ผกร.เหล่านี้ไม่อยากอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆอีกต่อไป เนื่องจากไม่ได้อยู่กับคอบครัวเพราะกลัวถูกเจ้าหน้าที่จับกุมตัว
ผู้ต้องสงสัยที่ยอมรับสารภาพกับเจ้าหน้าที่ว่าเคยก่อเหตุอย่างเช่นนายมาหามะ เจะและ ยอมรับว่าได้เข้าร่วมเป็นสมาชิก ผกร. เมื่อปี 2550 จากการชักชวนปลุกระดมโดยการบรรยายประวัติศาสตร์รัฐปัตตานี และต่อมามีการสาบานตน (ซุมเปาะห์) และได้เข้าทำการฝึกร่างกาย โดยนายสาบูดิง หรือเปาะซู เด็ง ราษฎรพื้นที่บ้านปะโด หมู่ 5 ต.ปะโด อ.มายอ จ.ปัตตานี ซึ่งได้เสียชีวิตจากการปะทะเมื่อ 15 ก.ค.53 โดยมีนายอัสมัน เจ๊ะหนิ เข้าร่วมรับการฝึกด้วย และยังยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่ อ.มายอ จ.ปัตตานี จำนวน 3 เหตุการณ์ ด้วยกัน ดังนี้
เหตุการณ์ที่ 1 เมื่อ 5 ส.ค.56 ร่วมก่อเหตุขว้างระเบิดแสวงเครื่องใส่ร้านขายอาหารตามสั่งของนายเจริญ ดำประเสริฐ เหตุเกิดในพื้นที่ ม.1 ต.มายอ อ.มายอ จ.ปัตตานี ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ จำนวน 5 ราย โดยเป็นผู้ทำหน้าที่ขว้างระเบิด และมีนายอิสมาแอ มะลี เป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์
เหตุการณ์ที่ 2 เมื่อ 24 ต.ค.56 มีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุยิง น.ส.สายใจ ศรีสุวรรณ ซึ่งเป็นผู้ลงมือก่อเหตุยิง ขณะ น.ส.สายใจฯ กำลังขายของอยู่ในตลาดนัด ในพื้นที่ บ.ปาลัส จนเสียชีวิต
เหตุการณ์ที่ 3 ยอมรับว่าได้ร่วมกันก่อเหตุลอบวางเพลิงเผาโรงเรียนบ้านกระเสาะ เมื่อ 12 ต.ค.57
นายบัดรุดีน เจ๊ะแว ยอมรับว่านายมาหะมะซาบรีฯ เป็นผู้ชักชวนตนเข้าเป็นสมาชิก ผกร. และให้สถานที่ในการหลบซ่อนพักพิงกับสมาชิกกลุ่ม ผกร. ที่ตายจากเหตุยิงปะทะ โดยกลุ่มดังกล่าวเข้ามาอาศัยที่บ้าน ซึ่งตนเองไม่เคยรู้จักหรือสนิทสนมแต่อย่างใดรู้จักเพียงนายมาหะมะซาบรีฯ รวมทั้งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการก่อเหตุลอบวางเพลิงเผาโรงเรียนบ้านกระเสาะ ม.3 ต.กระเสาะ อ.มายอ จ.ปัตตานี เมื่อ 12 ต.ค.57
นายรอยาลี เปาะแต ยอมรับว่าได้รับการชักชวนให้เข้าร่วมเป็นสมาชิกกลุ่ม ผกร. เมื่อปี 2553 เคยรับฟังการบรรยายเกี่ยวกับประวัติศาสตร์รัฐปัตตานี, ผ่านการสาบานตน (ซุมเปาะห์) จากนายแอนดี หรือแบดี มามะ แต่ปฏิเสธว่าไม่เคยผ่านการฝึกร่างกายจากกลุ่ม ผกร. แต่อย่างใด
นายรอยาลีฯ ยอมรับว่าตนเองมีส่วนร่วมในการสนับสนุนการก่อเหตุรุนแรง โดยได้รับคำสั่งจาก นายแอนดีฯ ให้ทำหน้าที่ดูความเคลื่อนไหวเจ้าหน้าที่รัฐ, ก่อเหตุก่อกวนด้วยการแขวนป้ายผ้า, พ่นสีสเปรย์บนพื้นถนน, เผายางรถยนต์ ในพื้นที่บ้านกายูมาตีนอก ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
นายรอยาลีฯ ยังมีส่วนเกี่ยวข้องสนับสนุนในการขนย้ายวัตถุระเบิดแสวงเครื่องเพื่อใช้ในการก่อเหตุลอบวางระเบิด เจ้าหน้าที่ในพื้นที่ ต.ตันหยงลิมอ ต.ตันหยงมัส และ ต.บองอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส โดยทำหน้าที่ขับรถจักรยานยนต์นำทางรถจักยานยนต์คันที่บรรทุกระเบิดแสวงเครื่องบรรจุในถังแก๊สขนาด 25 กิโลกรัม จากบริเวณริมลำธารในพื้นที่บ้านกายูมาตีหมู่ 8 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะฯ ไปส่งให้กับกลุ่ม ผกร.ในพื้นที่บ้านกายูมาตีนอก ต.ตันหยงมัส อ.ระแงะ จ.นราธิวาสเพื่อใช้ในการก่อเหตุ
นายรอยาลีฯ ยอมรับว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์คนร้าย ลอบโจมตีฐานปฏิบัติการ ฉก.นปพ.สภ.ระแงะ เมื่อวันที่ 2 ก.ค.55 ในพื้นที่บ้านลาลู หมู่ 8 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ โดยทำหน้าที่ส่งเสบียงซึ่งเป็นข้าวห่อ จำนวน 18 ห่อ ให้กับ กลุ่ม ผกร.บริเวณป่าในพื้นที่บ้านกายูมาตี หมู่ 8 ต.ตันหยงลิมอ อ.ระแงะ จ.นราธิวาส
ความสำเร็จในการติดตามจับกุมตัว ผกร. นับได้ว่าเป็นความสำเร็จของการปฏิบัติการเชิงรุกของเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อจำกัดการเคลื่อนไหวของ ผกร. โดยได้รับความร่วมมือจากผู้นำชุมชน ผู้นำศาสนาในพื้นที่มากขึ้น ซึ่งความร่วมมือเช่นนี้เริ่มมีผลทางบวกต่อเหตุการณ์หลายเหตุการณ์ด้วยกัน อย่างกรณีล่าสุดกับเหตุการณ์ติดตามจับกุม ผกร. 3 ราย ซึ่งมีหมาย ป.วิ.อาญา รวม 9 หมาย เป้าหมาย 3 จุด ในพื้นที่อำเภอบันนังสตา จ.ยะลา เมื่อ 27 ม.ค.58 ที่ผ่านมา เป็นสิ่งยืนยันได้เป็นอย่างดีของความสำเร็จที่เกิดจากความร่วมมือกันของทุกภาคส่วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาคประชาชน
เหตุการณ์ความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ทุกครั้งหลังเกิดเหตุหรือไม่เกิดเหตุก็ตามที สิ่งที่คุ้นตากับภาพที่เกิดขึ้นจากประชาชน คือจะมีกลุ่มพี่น้องมลายูมุสลิมปาตานีผู้รักสันติ ไม่ฝักใฝ่ความรุนแรงต้องการเห็นสันติสุขเกิดขึ้น เพื่อความผาสุขร่วมกันของประชาชนทุกคน ไดร่วมกันละหมาดฮะยัดดุอาร์ขอพรให้พื้นที่ 3 จังหวัดภาคใต้สงบ หยุดการเข่นฆ่ากัน และบังเกิดความสันติสุขอย่างเช่นอดีตในเร็ววัน ซึ่งเป็นสิ่งสะท้อนและยืนยันได้ว่าคนจำนวนหมู่มากในพื้นที่แห่งนี้ไม่ต้องการความรุนแรงทุกรูปแบบไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายไหนก็ตามแต่ แค่ต้องการความสงบสุขกลับคืนมาคืนให้ลูกหลาน และการใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างพหุวัฒนธรรม
ท้ายสุดนี้ผู้เขียนขอวิงวอนให้มุสลิมทุกคนจะต้องยึดถือเป็นซุนนะห์ หรือแนวทางในการปฏิบัติตามจรรยามารยาทที่ดีงาม คือแบบอย่างหรือแนวทางของท่านศาสดามูฮัมหมัด ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม ซึ่งมุสลิมเชื่อมั่นและศรัทธาว่า ท่านคือนบีและเราะซูล ผู้เป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดตามบทบัญญัติของอิสลาม พี่น้องมลายูปาตานีทุกคนจะต้องเลื่อมใส ศรัทธา และปฏิบัติตามหลักคำสอนของศาสนา เพื่อเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเราพี่น้องมุสลิมจะเป็นส่วนหนึ่งของสังคม จะต้องช่วยกันเพื่อให้เกิดความสันติสุขที่ยั่งยืนสืบไป ณ ดินแดนปาตานีแห่งนี้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น