วันศุกร์ที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2556

การต่อสู้เพื่อ “มาลายู” คือ “กองโจรสร้างเขตอิทธิพล”

การต่อสู้เพื่อ “มาลายู” คือ  “กองโจรสร้างเขตอิทธิพล”

การต่อสู้เพื่อ “มาลายู” เป็นแค่ตำนาน แท้จริงง คือ
“กองโจรสร้างเขตอิทธิพล”




           การโจมตีแบบไม่เลือกเป้าหมาย และไม่เลือกเวลา ของกลุ่มแนวร่วมขบวนการเคลื่อนไหวในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ นอกเหนือจากที่กำลังตกอยู่ท่ามกลางการประณาม จากสังคมทั่วไปแล้ว ลึกๆ ลงไปยังเป็นเหตุปัจจัยหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความ “ตกต่ำอย่างถึงขีดสุด” ที่ยอมปฏิบัติการ ในสิ่งที่ไม่เป็นไปตามแนวคิดของการสร้าง “ฐานมวลชน”

        และนี่อาจเป็นการเคลื่อนไหวที่แย่ที่สุดครั้งหนึ่งที่สุดในทางยุทธวิธีและยุทธศาสตร์ !!

          จากเหตุการณ์ ลอบวางระเบิดในบริเวณโรงเรียนคณะราษฎรบำรุง 2 ต.ยุโป อ.เมือง จ.ยะลา มีทหารเสียชีวิตและมีเด็กนักเรียนได้บาดเจ็บ กลายเป็นชนวนเหตุสำคัญ ที่ทำให้หลายฝ่ายเริ่มกลับมามอง ถึงแนวคิดและวิธีการของกลุ่มขบวนการอีกครั้ง


         หลังจากที่พื้นที่ 3 จัวหวัดชายแดนภาคใต้มีการก่อเหตุน้อยลงในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ภาพภของการเปรียบเทียบสถานการณ์ และภาพของการเปรียบเทียบถึงทิศทางแห่งการเดินหน้าสู่สันติภาพ ที่หลายฝ่ายคาดหวังยังคงเป็นเพียงเส้นที่ไร้จุดหมาย

        รวมถึงยังทำให้มองเห็นถึงภาพของกลุ่มขบวนการ ที่เริ่มเป็นไปแบบ “ไร้หางเสือ” คือปฏิบัติการโดยไม่คำนึงถึงภาพของการสร้างฐานมวลชน ต่างจากที่ผ่านๆ มา ที่จะเลือกปฏิบัติการกับเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น

         ย้อนหลังกลับไปก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2556 คนร้ายจำนวน 4 คน ใช้อาวุธปืนประกบยิง “นายยะโก๊บ หร่ายมณี” อิหม่ามประจำมัสยิดกลางจังหวัดปัตตานี เสียชีวิตขณะเดินซื้ออาหารในตลาดนัดจะบังติกอ ถ.ยะรัง ซอย 6 เขตเทศบาลเมืองปัตตานี กลายเป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่สะเทือนจิตใจของชาวมุสลิม


         หากนำภาพปะติดปะต่อเหตุการณ์ ปฏิบัติการ ในช่วงเดือนรอมฎอนที่ผ่านมา รวมถึงเหตุการณ์ทสังหารสังอิหม่ามยะโก๊ป และ เหตุการณ์ลอบวางระเบิดโรงเรียนมาต่อไว้ด้วยกัน จะเห็นภาพของการ “ปฏิบัติการโดยไม่คำนึงถึงจิตใจของมวลชน” ที่เป็นไปได้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ กลุ่มขบวนการเคลื่อนไหว จะละทิ้งซึ่งฐานมวลชน อันจะนำพาไปสู่หนทางหายนะของขบวนการในที่สุดนั้นเอง

         และการละทิ้งมวลชน จะทำให้กลุ่มปฏิบัติการที่เคยเป็นแนวร่วมของขบวนการต่างๆ มีสภาพไม่ต่างจาก “กองโจร” แม้ว่าจะมีการมองถึงการปฏิบัติการว่าจะเป็นส่วนหนึ่งในการต่อต้านการเจรจาเพื่อสันติภาพ แต่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นท่ามกลางการปฏิบัติการต่างๆ ของแนวร่วมกลุ่มเคลื่อนไหวในขณะนี้ ไม่เพียงแต่จะหยุดยั้งกระบวนการเจรจาเพื่อสันติภาพไม่ได้


         แต่อาจกำลังผลักไสให้มวลชนหันกลับไปเห็นด้วยกับการเจรจาสันติภาพมากยิ่งขึ้น เมื่อมีผู้ต้องตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในช่วงเวลาสำคัญทางศาสนา และ ผู้ต้องตกเป็นเหยื่อที่เป็นผู้นำทางศาสนาของชาวมุสลิม ไม่เว้นแม้แต่เด็กนักเรียน!!

          และหลายฝ่ายวิเคราะห์ถึงปฏิบัติการนี้ว่า “เป็นความล้มเหลวในยุทธวิธีและยุทธศาสตร์อย่างสิ้นเชิง” ท่ามกลางการต่อรองของกลุ่มแกนนำขบวนการ ที่กำลังยื่นเงื่อนไขสำคัญให้กับภาครัฐ คือ “การปล่อยตัวผู้ต้องหาอย่างไม่มีเงื่อนไข”

        ขณะที่ภาพด้านบนของการเตรียมการเจรจาสันติภาพรอบใหม่ ที่จะเกิดขึ้นในราวเดือนตุลาคมนี้ กำลังจะสะท้อนถึงผลที่จะตามมา โดยเฉพาะ หลังเส้นทางของการเจรจาสันติภาพที่เริ่มต้นมาได้ 6 เดือน กับข้อเสนอทั้ง 5 ข้อที่เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของภาครัฐ

          พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) เปิดเผยถึงสำหรับเรื่อง 5 ข้อเสนอของกลุ่มบีอาร์เอ็น ทางคณะพูดคุยสันติภาพจะนำรายละเอียดเข้ารายงานต่อที่ประชุมศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และนโยบายแก้ไขปัญหาภาคใต้ (ศปก.กปต.) ในวันที่ 13 กันยายนนี้ ทั้งนี้ ทางผู้อำนวยความสะดวกมาเลเซียจะนัดหมายการพูดคุยครั้งต่อไปกับขบวนการบีอาร์เอ็นในราวกลางเดือนตุลาคม หรือสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม” เลขาธิการ สมช.กล่าว


         ในข้อเสนอทั้ง 5 ข้อ นอกเหนือจากเรื่องของการปล่อยตัวแนวร่วมกลุ่มขบวนการแล้ว ยังมีข้อเสนอสำคัญอีกประการหนึ่ง คือ “ข้อเรียกร้องให้ไทยต้องยอมรับความเป็นมลายูปัตตานี” ที่เป็นเอกลักษณ์ชนชาติ ซึ่งทั้งหมดกำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของรัฐบาลไทย ก่อนจะมีการเจรจากันอีกครั้งในเดือนตุลาคมนี้

          แต่จากปฏิบัติการที่เกิดขึ้นของกลุ่มขบวนการเคลื่อนไหวในพื้นที่ ที่มีออกมาอย่างต่อนเนื่องนับตั้งแต่ช่วงเดือนรอมฎอน ที่เป็นช่วงเวลาสำคัญทางศาสนา และการปฏิบัติต่อเหยื่อแบบไม่เลือกเป้าหมาย อาจทำให้ข้อตกลงในเงื่อนไขทั้ง 5 ข้อที่เกิดขึ้นเป็นไปได้ยากมากขึ้น

        และเมื่อพิเคราะห์ลงไปถึงบทบาทที่แท้จริงของกลุ่มแกนนำระดับสูงบนโต๊ะเจรจา และการปฏิบัติการในกลุ่มระดับพื้นที่ อาจเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เห็นได้ว่า “ไม่เพียงแต่รัฐบาลเท่านั้นที่จะไม่ยอมรับในเงื่อนไขทั้งหมด แต่ในส่วนของประชาชนในพื้นที่เองก็หวาดกลัว”



         และหวาดกลัวถึงเงื่อนไขสำคัญอย่างความเป็น “มลายูปัตตานี” ที่ประชาชนในพื้นที่ไม่ว่าชาวไทยพุทธหรือแม้แต่ไทยเชื้อสายมาลายูที่เป็นชาวมุสลิมเอง จะต้องตกอยู่ในอิทธิพลมืด ที่มีลักษณะไร้การควบคุม หรือ ตกอยู่ภายใต้อิทธิพล “ของกลุ่มแนวร่วมที่ไม่ต่างจากกองโจรในแต่ละพื้นที่” ซึ่งปฏิบัติการที่ผ่านๆ มามาเป็นตัวชี้วัดได้เป็นอย่างดี

          และนี่อาจเป็นหนึ่งในสิ่งที่ยืนยันถึงความผิดพลาด กับปฏิบัติการที่ผิดพลาดทาง “ยุทธศาสตร์ของกลุ่มแนวร่วม” ที่อาจจะเป็นเพียงการ “ดิ้น” ครั้งสุดท้าย ซึ่งแสดงให้เห็นว่า “อุดมการณ์อันสูงส่งที่ต้องการเชิดชูความเป็นมาลายู” เป็นเพียงข้ออ้าง และปฏิบัติการละทิ้งฐานทางด้านมวลชนที่เกิดขึ้น จึงเป็นเพียงการแลกกับพื้นที่เขตอิทธิพลในแต่ละส่วน โดยเน้นความรุนแรงเพื่อสร้างความหวาดกลัวต่อไป !!

       ซึ่งอาจเร่งเร้าสู่จุดสุดท้ายแห่งการต่อสู้อันยาวนาน ที่จะเหลือแต่เพียง “กองโจรที่ทำเพื่อผลประโยชน์สร้างเขตอิทธิพลปกครองประชาชนในพื้นที่” ลบเลือนอุดมการณ์ที่เคยเชื่อกันว่าเป็นอุดมการณ์อันสูงส่ง “แห่งการต่อสู้เพื่อการยอมรับในความเป็นมาลายู” ไปจนหมดสิ้น

และสู่จุดสุดท้ายคือ “ความพ่ายแพ้” ในที่สุด!!
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม