วันเสาร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2556

‘น้ำมันเถื่อน’เกลื่อนเมือง-โยงแนวร่วม ‘ไฟใต้’คำถามจี้ใจ “ถาวร เสนเนียม”

‘น้ำมันเถื่อน’เกลื่อนเมือง-โยงแนวร่วม ‘ไฟใต้’คำถามจี้ใจ “ถาวร เสนเนียม”


       
       2 ปีที่ผ่านมา เป็น 2 ปีทองของขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนในพื้นที่ของภาคใต้ตอนล่างอย่างแท้จริง เพราะส่วนต่างของราคาน้ำมันในประเทศไทยกับในประเทศมาเลเซียต่างกันลิตรละ 12-20 บาท โดยราคา “ดีเซล” ของเพื่อนบ้านจำหน่ายที่ลิตรละ 18 บาท และ “เบนซิน” ลิตรละ 20 บาท ส่วนของบ้านเรา “ดีเซล” ลิตรละ 30.60 บาท และ “เบนซิน” ลิตรละ 41.30 บาท
       
       ราคาที่ต่างกันอย่างมากคือ เหตุจูงใจให้เกิดขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนเกิดขึ้นเป็นจำนวนมาก ทั้งที่เป็น “นายทุน” ซึ่งจับมือกับผู้มีอำนาจที่เป็น “นักการเมือง” และคนใน “เครื่องแบบ” และประชาชนทั่วไป ละทิ้งอาชีพอื่นๆ กระโจนเข้าสู่การลักลอบขนน้ำมันเถื่อนข้ามแดน และเปิดร้านค้าและปั๊มเถื่อนเพื่อขายน้ำมันเถื่อนกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน
       
       ไม่เคยมียุคไหนสมัยไหนที่จะเห็นร้านค้าและแผงลอย ตลาดสด ทุกมุมเมือง ต่างนำน้ำมันเถื่อนบรรจุขวด บรรจุแกลลอน และบรรจุถัง 200 ลิตรวางขายกันมากมายชนิดถนน 1 สาย มีร้านขายน้ำมัน 10 กว่าแห่ง ในขณะที่ถนนทุกสายมีปั๊มเถื่อน มีซาเล้งบรรทุกน้ำมันเร่ขาย และมีแท็งเกอร์บรรจุน้ำมัน 5,000-10,000 ลิตร ให้บริการรถยนต์ทุกชนิด โดยไม่มีการจับกุมหรือตรวจสอบจากเจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ศุลกากร หรือสรรพสามิต
       
       ทั้งที่ทุกหน่วยงานต่างรู้ว่า นั่นคือการค้า “ขาย” น้ำมันเถื่อน
       
       ใน จ.สงขลามีพื้นที่ 2 อำเภอที่เป็นพื้นที่เก็บกักน้ำมันเถื่อนที่ใหญ่และท้าทายกฎหมายที่สุดคือ จุดที่ 1 พื้นที่ อ.สะเดา จุดใหญ่ที่สุดคือ ชายแดนไทย-มาเลเซีย ที่บ้านไทยจังโหลน เขตเทศบาลตำบลสำนักขาม ซึ่งมีแท็งเกอร์เก็บกักน้ำมันเถื่อนจำนวนหลายสิบแท็งๆ ละ 20,000 ลิตร และมีห้องแถว บ้านเช่า ที่กักเก็บน้ำมันในถัง 200 ลิตรอีกกว่า 100 แห่ง เพื่อรอการขนขึ้นรถบรรทุกและนำน้ำมันเถื่อนเหล่านี้ไปส่งให้ลูกค้า
       
       จุดที่ 2 คือ อ.สิงหนคร ซึ่งเป็นพื้นที่ติดชายฝั่งทะเลของ จ.สงขลา ซึ่งเป็นพื้นที่ค้าน้ำมันเถื่อนทางทะเล ที่ขนทางเรือมาจากประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ โดยในพื้นที่เกือบทุกตำบลของ อ.สิงหนคร มีแท็งเก็บกักน้ำมันเถื่อนกว่า 50 แห่ง ตั้งแต่ 8,000-30,000 ลิตร มีรถบรรทุกตั้งแต่ 6-10 ล้อและ 18 ล้อ รอรับน้ำมันเถื่อนไปส่งให้แก่ลูกค้าในอำเภอต่างๆ ของ จ.สงขลาและพื้นที่ จ.พัทลุง จ.ตรังและ จ.กระบี่
       
       ปริมาณน้ำมันเถื่อนจากพื้นที่ 2 อำเภอใน จ.สงขลา มีการตรวจสอบจากปั๊มน้ำมัน 5 แห่งของประเทศเพื่อนบ้าน และตรวจสอบจากจำนวนเรือบรรทุกน้ำมันเถื่อนในชายฝั่งทะเลสงขลา พบว่า รวมกันไม่ต่ำกว่า 1 ล้านลิตรต่อวัน นั่นหมายถึงรัฐเสียรายได้จากภาษีลิตรละ 5 บาท วันละ 5 ล้านบาท โดยขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนได้กำไรจากการค้าน้ำมันเถื่อนโดยไม่ต้องเสียภาษีวันละ 15 ล้านบาทด้วยกัน
       
       ขบวนการค้าน้ำมันเถื่อนที่ จ.สงขลา ถ้าตัดกลุ่มผู้ค้ารายเล็กๆ ออกไปจะพบว่า รายใหญ่ๆ ทั้งหมดกว่า 100 รายล้วนเกี่ยวข้องกับ “การเมือง” ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม โดยตรงคือ นักการเมืองท้องถิ่นทั้งระดับ อบต. ส.ท. และ ส.จ. ค้าเองขายเองโดยตรง ส่วนโดยอ้อมคือ เป็น “คน” ในสังกัดของ “นักการเมือง” ทั้งระดับผู้บริหารท้องถิ่น และนักการเมืองระดับชาติ บางคนมีตำแหน่งทางการเมือง และส่วนหนึ่งเป็นญาติพี่น้องและคนร่วมห้องกับนักการเมือง

ปั๊มหลอกขายน้ำมันเถื่อนที่ถูกเจ้าหน้าที่จับกุมไปแล้วระลอกหนึ่ง แต่ในวันนี้ก็ยังมีให้เห็นเกลื่อนกลาดไปทั่วทุกมุมเมือง ทั้งในรูปแบบปั๊มหลอดหรือกรอกใส่ขวดขายตามบ้านเรือนร้านค้ามากมาย
       


         ผลประโยชน์จาก “น้ำมันเถื่อน” คือเงินที่ใช้ในการ “เล่น” การเมืองและสร้างอิทธิพลทางการเมือง

       ส่วนพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หน่วยงานความมั่นคงของ กอ.รมน.ภาค 4 ส่วนหน้า รายงานมาโดยตลอดว่า มีการลักลอบนำเข้าน้ำมันเถื่อนจาก อ.ตากใบ อ.สุไหงโก-ลก และ อ.แว้ง จ.นราธิวาส จำนวนมาก โดยเฉพาะที่ อ.ตากใบ จ.นราธิวาสนั้นมีรถบรรทุก 10-18 ล้อจาก จ.เพชรบุรีและพื้นที่อื่นๆ มารับน้ำมันเถื่อนวันละ 10 กว่าเที่ยว ส่วนที่ อ.สุไหงโก-ลกและ อ.แว้ง จ.นราธิวาส ส่วนใหญ่ส่งจำหน่ายในพื้นที่ 3 จังหวัด

       และ ที่น่าตกใจคือ ขบวนการลักลอบค้าน้ำมันเถื่อนทั้งหมดโยงใยกับ “แนวร่วม” ก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยสนับสนุนทางการเงินเพื่อใช้ในการ “ก่อวินาศกรรม” และก่อความไม่สงบทุกรูปแบบ ซึ่งสภาพของ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ณ วันนี้ไม่ได้แตกต่างกับพื้นที่ จ.สงขลา เพราะน้ำมันเถื่อนกลายเป็น “สินค้า” ที่วางขายในร้านชำ และปั๊มเถื่อนก็ยึดพื้นที่ริมถนนทั้งในเมืองและชนบทไปหมดแล้ว

       ธุรกิจเถื่อนเหล่านี้ไม่ต้องเสียภาษีให้รัฐ ไม่ต้องจ่ายค่าใบอนุญาต แต่สร้างความสูญเสียด้านภาษีเงินได้อย่างมหาศาล และที่สำคัญคือ มีส่วนสนับสนุนขบวนการ “แบ่งแยกดินแดน” ให้เติบโตและทำร้ายประเทศชาติ



ทลายเครือข่ายน้ำมันเถื่อน ลูกน้อง ถาวร เสนเนียม
ตัวการใส่เสื้อรายการดัง สายล่อฟ้า 

       อะไรเกิดขึ้นในจังหวัดชายแดนภาคใต้ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้ “กลไก” ของรัฐที่มีหน้าที่โดยตรงในการปราบปรามน้ำมันเถื่อน ตั้งแต่ตำรวจ ศุลกากร สรรพสามิต และชุดปราบน้ำมันเถื่อน ทั้งจากส่วนกลางและในพื้นที่ “วางเฉย” กับขบวนการทำลายชาติ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดก่อนๆ

       มีเพียงเหตุผล 2 ประการที่ทำให้ “กลไก” ของรัฐไม่ทำหน้าที่คือ 1.ผลประโยชน์จากการค้าน้ำมันเถื่อนจำนวนมากถูก “แจกจ่าย” ให้กับส่วน “หัว” ของหน่วยงานของรัฐ จนไม่มีหน่วยไหนกล้าที่จะจับกุม เพราะ ไม่กล้าที่จะทุบ “หม้อข้าว” ของ “นาย” และของ “ตนเอง” และ 2.เกิดจากอิทธิพลทางการเมืองของ “นักการเมือง” ที่อยู่เบื้องหลังเป็นผู้ “บงการ” ให้อำนาจรัฐ “บิดเบี้ยว” ไม่สามารถที่จะรักษาความเป็น “นิติรัฐ” เอาไว้ได้ จึงไม่เหลือ “นิติธรรม” เอาไว้ได้

       เพราะหากไม่ใช่ 2 อย่างนี้ ก็ไม่มีเหตุผลอะไรที่ “หน่วยงานของรัฐ” ทั้งหมดจะไม่กล้าแตะต้องขบวนการผิดกฎหมายเหล่านี้


       ล่าสุดมีผู้ร้องไปยัง “ถาวร เสนเนียม” รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีบ้านพักที่ จ.สงขลา และมีหน้าที่กำกับดูแลจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อแก้ปัญหาการค้าน้ำมันเถื่อนที่เกิดขึ้น โดย “ถาวร เสนเนียม” ได้ระบุว่า ได้สั่งการให้ “ผอ.ศุลกากรภูมิภาคที่ 4” ปราบปราม จับกุมให้จริงจัง แต่ผ่านมานับเดือนจนถึง ณ วันนี้ยังไม่มีหน่วยงานไหนกล้า “แตะ” กลุ่มผลประโยชน์กลุ่มนี้แต่อย่างใด

       แสดงให้เห็นชัดเจนว่า ถ้าไม่มีรายการ “ปาหี่” ต้องมีผู้ที่มี “อำนาจ” มากกว่า “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย” อยู่เบื้องหลังขบวนการเหล่านี้ “เจ้าหน้าที่รัฐ” จึงไม่มีหน่วยงานไหน “เชื่อฟัง” คำสั่งของ “รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย” แต่อย่างใด

       และใครคือ “ไอ้โม่ง” คนนั้น และปัญหาขบวนการน้ำมันเถื่อนบ่อนทำลายชาติที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะให้ใครเป็นคนแก้
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม