วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2556

ตำรวจมาเลเซียรวบคนมุสลิมชายแดนใต้ ยึดอาวุธสงครามและอุปกรณ์ประกอบระเบิดเพียบ

ตำรวจมาเลเซียรวบคนมุสลิมชายแดนใต้ ยึดอาวุธสงครามและอุปกรณ์ประกอบระเบิดเพียบ


         ตำรวจมาเลเซียรวบคนไทยจากชายแดนใต้ พร้อมยึดอาวุธสงครามและอุปกรณ์ประกอบระเบิดอื้อในร้านอาหารที่รัฐเคดาห์ สงสัยโยงป่วนใต้ "ทีมเจรจา" ชี้เป็นสัญญาณบวกจากทางการมาเลย์เอาจริงไม่ให้กลุ่มก่อความไม่สงบใช้พื้นที่เคลื่อนไหว เชื่อเป็นปัจจัยหนึ่งทำให้สถานการณ์ดีขึ้นในช่วงนี้ ขณะที่ "อกนิษฐ์" เตือนให้จับตา หวั่นซ้ำรอย 3 หนุ่มนราฯโยงซุกบึ้มที่ศาลยกฟ้อง ด้าน กอ.รมน.ไฟเขียวผลิตถังแก๊ส "อิ่มอุ่น" ใช้ใยแก้วผสมเรซินแทนถังเหล็ก แก้ลำถูกนำไปประกอบระเบิด




       ทางการมาเลเซียจับกุมบุคคลสัญชาติไทยพร้อมอาวุธสงครามล็อตใหญ่ได้ที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งในรัฐเคดาห์ หนึ่งใน 4 รัฐทางตอนเหนือของมาเลเซียที่มีอาณาเขตติดต่อกับสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคงไทยคาดว่าบุคคลดังกล่าวน่าจะเกี่ยวข้องกับสถานการณ์ความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้

       แหล่งข่าวจากฝ่ายทหารในพื้นที่ชายแดนใต้ เปิดเผยว่า การจับกุมดังกล่าวเกิดขึ้นเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 ก.ย.2556 โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐเคดาห์ได้เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านต้องสงสัยซึ่งเปิดเป็นร้านอาหารไม่มีชื่อ ตั้งอยู่บริเวณหลักไมล์ที่ 27 ถนนนาข่า หรือนาคา บ้านวังระไม ตำบลเตอกายคีรี อำเภอปาดังเตอรับ พบชายมุสลิมไทยไม่ทราบชื่อ อายุประมาณ 50 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย พร้อมของกลางเป็นอาวุธสงคราม เครื่องกระสุน และสารเคมีจำนวนหนึ่ง คาดว่าใช้เป็นส่วนผสมในการประกอบวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง

สำหรับรายงานยุทโธปกรณ์ที่เจ้าหน้าที่มาเลเซียตรวจยึดได้ ประกอบด้วย
  • 1.อาวุธปืนขนาด 9 มม.ยี่ห้อบาเร็ตต้า รุ่น 92FS พร้อมซองกระสุน จำนวน 1 กระบอก
  • 2.อาวุธปืนเอเค 47 (อาก้า) จำนวน 3 กระบอก
  • 3.อาวุธปืนโคลท์ เอ็ม 4 จำนวน 3 กระบอก
  • 4.อาวุธปืนยาวไม่ทราบยี่ห้อ จำนวน 1 กระบอก
  • 5.ซองกระสุนไม่ทราบยี่ห้อ จำนวน 2 ซอง
  • 6.ซองกระสุน เอ็ม 4 จำนวน 4 ซอง
  • 7.ซองกระสุน เอเค 47 (อาก้า) จำนวน 3 ซอง
  • 8.กระเป๋าบรรจุอุปกรณ์ประกอบระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 1 ใบ
  • 9.ปุ๋ยยูเรีย 5 ถุง (สามารถใช้ประกอบระเบิดแสวงเครื่องได้) 
  • 10.แกลลอนน้ำมันบรรจุกระสุน จำนวน 2 แกลลอน
รูปภาพ : ตำรวจมาเลย์รวบโจรใต้พร้อมอาวุธสงคราม และสารตั้งต้นระเบิดเพียบในร้านอาหารที่รัฐเคดาห์....

เมื่อวันที่ 5 ก.ย.2556 เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐเคดาห์ได้เข้าปิดล้อมตรวจค้นบ้านต้องสงสัยซึ่งเปิดเป็นร้านอาหารไม่มีชื่อ ตั้งอยู่บริเวณหลักไมล์ที่ 27 ถนนนาข่า หรือนาคา บ้านวังระไม ตำบลเตอกายคีรี อำเภอปาดังเตอรับ พบชายไทย อายุประมาณ 50 ปี มีภูมิลำเนาอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย...

สามารถยึดอาวุธสงคราม และสารตั้งต้นระเบิดดังนนี้:

1.อาวุธปืนขนาด 9 มม.ยี่ห้อบาเร็ตต้า รุ่น 92FS พร้อมซองกระสุน จำนวน 1 กระบอก
2.อาวุธปืนเอเค 47 (อาก้า) จำนวน 3 กระบอก
3.อาวุธปืนโคลท์ เอ็ม 4 จำนวน 3 กระบอก
4.อาวุธปืนยาวไม่ทราบยี่ห้อ จำนวน 1 กระบอก
5.ซองกระสุนไม่ทราบยี่ห้อ จำนวน 2 ซอง
6.ซองกระสุน เอ็ม 4 จำนวน 4 ซอง
7.ซองกระสุน เอเค 47 (อาก้า) จำนวน 3 ซอง
8.กระเป๋าบรรจุอุปกรณ์ประกอบระเบิดแสวงเครื่อง จำนวน 1 ใบ
9.ปุ๋ยยูเรีย 5 ถุง (สามารถใช้ประกอบระเบิดแสวงเครื่องได้) 
10.แกลลอนน้ำมันบรรจุกระสุน จำนวน 2 แกลลอน

การปิดล้อมตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลย์ครั้งนี้สามารถจับกุมผู้ต้องหาได้จำนวน 3 ราย ซึ่ง 1 คนเป็นสัญชาติมาเลย์ และอีก 2 เป็นคนพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ประเทศไทย

ทราบชื่อ:
1.นายโมฮัมหมัด บิน มัต ดาอุด  (Mohamad bin mat daud) ภูมิลำเนาอยู่ใน จ.ยะลา
2.นายยามานาน บิน อาห์มัด (Jamanan bin ahmad) ภูมิลำเนาอยู่ใน จ.ยะลา

3.นายมัด ดองกอง ชาวมาเลย์ซึ่งเป็นเจ้าของร้าน 

สำหรับอาวุธปืน และสารตั้งต้นในการประกอบระเบิดดังกล่าว เจ้าหน้าที่ตำรวจรัฐเกดะห์เชื่อว่ามีการลักลอบนำเข้าจากรัฐซาบาห์ ซึ่งอยู่ทิศตะวันออกของประเทศมาเลเซีย แล้วนำไปพักไว้เพื่อลักลอบนำเข้าสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทย เพื่อนำไปใช้ก่อเหตุร้ายในพื้นที่

การปิดล้อมตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลย์ครั้งนี้พิสูจน์ความจริงแล้วว่าเงินสนับสนุนโจรใต้ที่เคยเป็นข่าวมาตลอดนั้นเป็นความจริง...!!!

ข่าวร้านอาหารท่อน้ำเลี้ยงโจรใต้ในมาเลย์: http://tnews.teenee.com/politic/5664.html

คราวนี้เหลือแค่การจับตาดูความจริงใจของประเทศมาเลย์ว่าจะมีความจริงใจในการตัดสินโทษ หรือดำเนินการกับโจรใต้หัวใจมาเลย์ยังไง...

เพราะอย่าลืมว่าเหตุการณ์จับโจรใต้ในประเทศมาเลย์นั้น เคยเกิดขึ้นมาแล้ว และสิ่งที่น่าทึ่งมากที่สุดคือ ศาลมาเลย์ยกฟ้อง 3 มือระเบิดทั้งหมด และได้รับการคุ้มครองจากมาเลย์เป็นอย่างดี http://on.fb.me/14quAYX

       แหล่งข่าวจากฝ่ายทหาร ระบุว่า ได้รับรายงานเพิ่มเติมว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียได้สืบสวนขยายผล และสามารถจับกุมชายชาวมาเลเซียอายุราว 53 ปีได้อีก 1 คน คาดว่าเป็นเจ้าของบ้านที่พบอาวุธสงคราม โดยจับกุมได้ที่ท่าเทียบเรือกัวลาเคดาห์ เมืองอลอร์เซอตาร์ หรือ อลอร์สตาร์ (เมืองหลวงของรัฐเคดาห์) อำเภอกัวลาเคดาห์ อำเภอโกตาสตาร์ ขณะนี้ผู้ต้องหาทั้ง 2 รายถูกส่งไปควบคุมตัว ณ สำนักงานตำรวจเคดาห์ พร้อมของกลางทั้งหมด

เผยจับ 3 รายเป็นชาวมุสลิมไทย 2 คนภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดยะลา

         ด้านแหล่งข่าวฝ่ายตำรวจในพื้นที่ชายแดนใต้ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียที่เข้าตรวจค้นบ้านต้องสงสัยที่เปิดเป็นร้านอาหารดังกล่าว เป็นตำรวจฝ่ายสืบสวนสอบสวนอาชญากรรม หรือ CID ของรัฐเคดาห์ โดยร้านอาหารแห่งนี้ตั้งอยู่เลขที่ 165 ซอยสรีเม็งกูดู 5 หมู่บ้านสรีเม็งกูดี เมืองอลอสตาร์ ผู้ที่ถูกจับกุมตัวมีทั้งหมด 3 ราย ทราบชื่อแล้ว 2 ราย คือ นายโมฮัมหมัด บิน มัต ดาอุด (Mohamad bin mat daud) และ นายยามานาน บิน อาห์มัด (Jamanan bin ahmad) ทั้งคู่มีภูมิลำเนาอยู่ใน จ.ยะลา

       แหล่งข่าวจากหน่วยงานความมั่นคงให้ข้อมูลว่า การจับกุมบุคคลมุสลิมสัญชาติไทยพร้อมอาวุธสงครามที่รัฐเคดาห์ น่าจะเกี่ยวโยงกับการก่อความไม่สงบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยบุคคลดังกล่าวน่าจะถือบัตรสองสัญชาติ เบื้องต้นกำลังรอการประสานข้อมูลจากทางการมาเลเซีย ส่วนบ้านที่เปิดเป็นร้านอาหารนั้น ยังไม่ชัดว่าเป็นร้านต้มยำซึ่งแรงงานไทยจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นิยมเข้าไปทำงานหรือไม่

         จากการตรวจสอบการนำเสนอข่าวของสื่อมวลชนมาเลเซีย พบว่ามีการเสนอข่าวดังกล่าวมากพอสมควร เช่น ในเว็บไซต์เดอะสตาร์ออนไลน์ หรือเดอะบอร์เนียวโพสต์ออนไลน์ แต่ไม่มีการระบุว่าบุคคลที่ถูกจับกุมมีสัญชาติไทย และระบุถึงปฏิบัติการดังกล่าวว่าเป็นไปตามแผนกวาดล้างยาเสพติดและแก๊งผิดกฎหมาย (ตัวอย่างลิงค์ข่าวในสื่อมาเลเซีย http://www.thestar.com.my/News/Nation/2013/09/05/Crime-Kedah-Guns.aspx และhttp://www.theborneopost.com/2013/09/06/kedah-police-seize-eight-more-firearms-in-ops-cantas/)

ชี้เป็นสัญญาณบวกจากรัฐบาลมาเลย์

         แหล่งข่าวจากคณะพูดคุยสันติภาพฝ่ายไทยที่ร่วมคณะพูดคุยกับบีอาร์เอ็นกลุ่มนายฮัสซัน ตอยิบ กล่าวว่า การจับกุมอาวุธสงครามและผู้ต้องสงสัยที่อาจเกี่ยวโยงกับการสร้างสถานการณ์ในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทยนั้น จะส่งผลดีกับสถานการณ์ภาพรวม เพราะแสดงให้เห็นว่าทางการมาเลเซียไม่ยอมให้กลุ่มก่อความไม่สงบจากชายแดนใต้ใช้พื้นที่ในการเคลื่อนไหว สะสมอาวุธ หรือหลบซ่อนตัวอีกต่อไป โดยก่อนหน้านี้รัฐบาลมาเลเซียก็เพิ่งส่งผู้ต้องหาสำคัญตามหมายจับคดีความมั่นคงให้กับทางการไทย 2-3 ราย แต่มีเงื่อนไขว่าทางการไทยห้ามแถลงข่าวอย่างเด็ดขาด

        ขณะที่เมื่อราว 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา บุคคลสำคัญของทางการมาเลเซียที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการจัดกระบวนการพูดคุยสันติภาพระหว่างตัวแทนรัฐบาลไทยกับบีอาร์เอ็นกลุ่มนายฮัสซัน ตอยิบ ก็ได้เดินทางมาประเทศไทยด้วย และได้หารือกับแกนนำคณะพูดคุยสันติภาพเพื่อวางแนวทางการขับเคลื่อนขบวนการพูดคุยต่อไป โดยทางการมาเลเซียพยายามดึงผู้เห็นต่างจากรัฐกลุ่มอื่นนอกเหนือจากบีอาร์เอ็น เช่น กลุ่มพูโลใหม่ เข้าร่วมโต๊ะพูดคุยด้วย ซึ่งความเคลื่อนไหวเหล่านี้ส่งผลให้สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้ค่อนข้างเงียบสงบ และมีเหตุรุนแรงลดลงอย่างชัดเจน

"อกนิษฐ์"เตือนระวังซ้ำรอยยกฟ้อง3ผู้ต้องหา

      อย่างไรก็ดี พล.อ.อกนิษฐ์ หมื่นสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ประสานงานไทยกับประเทศเพื่อนบ้าน กองทัพบก (ทบ.) ซึ่งเชี่ยวชาญงานความมั่นคงด้านไทย-มาเลเซีย กล่าวว่า ต้องจับตาดูต่อไปว่ามาเลเซียจะดำเนินการกับบุคคลกลุ่มนี้อย่างไร เพราะเมื่อ 3-4 ปีก่อนก็เคยจับกุมบุคคลสัญชาติไทยที่มีหมายจับในคดีความมั่นคงจากสามจังหวัดชายแดนภาคใต้พร้อมวัตถุระเบิดล็อตใหญ่ในรัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซียมาแล้ว แต่สุดท้ายศาลก็ยกฟ้อง และยังปล่อยตัวไปโดยไม่ส่งตัวให้ทางการไทยด้วย


       อนึ่ง คดีที่ พล.อ.อกนิษฐ์ พูดถึงนั้น คือคดีที่เจ้าหน้าที่ตำรวจมาเลเซียจับกุมบุคคลสัญชาติไทย 3 คนที่บ้านเช่าแห่งหนึ่งในย่านปาเสมัส รัฐกลันตัน ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 14 ธ.ค.2552 พร้อมของกลางเป็นวัตถุระเบิดและอุปกรณ์ประกอบระเบิดจำนวนมาก

        ผู้ต้องหาทั้ง 3 รายคือ นายมูฮัมหมัดซิดี สาและ นายมามะคอยรี สือแบ และ นายมะยูไน เจ๊ะดอเลาะ โดย นายมามะคอยรี เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของทางการไทยในคดีระเบิด ถูกจับกุมในโรงเรียนอิสลามบูรพา จ.นราธิวาส แต่หลบหนีระหว่างต่อสู้คดี (คดีนี้จำเลยคนอื่นๆ อีกหลายคนถูกศาลพิพากษาประหารชีวิต) ส่วน นายมูฮัมหมัดซิดี มีหมาย พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ

         กระทั่งวันที่ 26 ก.พ.2555 ศาลมีคำพิพากษาในเบื้องต้นว่าไม่มีหลักฐานเพียงพอที่จะระบุได้ว่า นายมูฮัมหมัดซิดี และ นายมะยูไน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการครอบครองวัตถุระเบิดที่พบ จึงมีคำสั่งให้ปล่อยตัวจำเลยทั้ง 2 คน และต่อมาวันที่ 22 พ.ค.2555 ศาลสูงโกตาบารูพิพากษายกฟ้อง นายมามะคอยรี สือแบ เพราะเชื่อคำให้การที่ว่าไปพักกับเพื่อนเพื่อรักษาอาการป่วย ศาลเห็นว่าจำเลยสามารถอ้างพยานหลักฐานหรือสร้างความคลางแคลงใจอย่างมีเหตุผลต่อข้อกล่าวหาของโจทก์ และไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับวัตถุระเบิดที่พบในบ้านเช่า

บึ้มชุด รปภ.ครูรือเสาะทหารพรานเจ็บ 2

         ด้านสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนใต้ วันศุกร์ที่ 6 ก.ย. เวลา 15.50 น. คนร้ายลอบจุดชนวนระเบิดดักสังหารชุดปฏิบัติการรักษาความปลอดภัยครู (ชป.รปภ.ครู) สังกัดกองร้อยทหารพรานที่ 4814 หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 48 หลังเสร็จภารกิจ รปภ.ครู โรงเรียนบ้านพนาทักษิณ ต.บาตง อ.รือเสาะ กำลังเดินทางกลับฐานโดยใช้ถนนสายชนบท เขตรอยต่อบ้านบลูกาฮูลู หมู่ 4 กับบ้านตันหยง หมู่ 5 ต.บาตง คนร้ายซุกระเบิดแสวงเครื่องไว้ในกองขยะริมทาง แรงระเบิดทำให้กำลังพลได้รับบาดเจ็บ 2 นาย ทราบชื่อคือ อาสาสมัครทหารพราน (อส.ทพ.) เปาซี ดือเลาะ กับ อส.ทพ.อภิศักดิ์ สุขนุ้ย เบื้องต้นมีรายงานว่าอาการสาหัส

       ก่อนหน้านั้น เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 5 ก.ย. เวลา 20.00 น. คนร้ายไม่ทราบจำนวนใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิง นายแวหะมะ อาแว อายุ 43 ปี ลูกจ้างในโครงการจ้างงานเร่งด่วนของรัฐ อยู่บ้านเลขที่ 39/1 บ้านหัวเขาแก้ว หมู่ 3 ต.บ้านกลาง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี ทำให้นายแวหะมะเสียชีวิตคาที่ เหตุเกิดขณะที่นายวาหะมะกำลังนั่งอยู่บนแคร่หน้าบ้านของตนเอง เบื้องต้นตำรวจยังไม่สรุปสาเหตุการสังหาร

ย้อนรอยรือเสาะป่วนหนักตลอดเดือน

         เป็นที่น่าสังเกตว่าตลอดเดือน ส.ค.2556 จนถึงต้นเดือน ก.ย. มีเหตุรุนแรงเกิดขึ้นที่ อ.รือเสาะ จ.นราธิวาส อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่มีเหตุเจ้าหน้าที่วิสามัญฆาตกรรม 2 ผู้ต้องสงสัยเกี่ยวพันกับคดีความมั่นคง เมื่อวันที่ 9 ส.ค. โดยเหตุรุนแรงในพื้นที่ อ.รือเสาะ มีดังนี้

  • 9 ส.ค. เจ้าหน้าที่เข้าปิดล้อมตรวจค้นที่หมู่ 9 บ้านพงยือติ ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ และเกิดการยิงปะทะกับกลุ่มติดอาวุธต้องสงสัย ก่อนวิสามัญฆาตกรรม นายมูฮัมหมัดสะแปอิง แวกะจิ และ นายอุสมาน แวกะจิ ซึ่งเป็นพี่น้องกัน มีภูมิลำเนาอยู่บ้านสโล หมู่ 7 ต.รือเสาะ อ.รือเสาะ
  • 16 ส.ค. คนร้ายใช้อาวุธสงครามยิงถล่มรถตำรวจ สภ.รือเสาะ บนถนนหน้าโรงเรียนอนุบาลรือเสาะ ทำให้ตำรวจเสียชีวิตในคราวเดียวถึง 4 นาย
  • 21 ส.ค. กำลังผสมทหารพราน ทหารหลัก และตำรวจ เข้าปิดล้อมตรวจค้นที่บ้านกือเล็งตก หมู่ 4 ต.รือเสาะออก อ.รือเสาะ และเกิดการยิงปะทะกับกลุ่มติดอาวุธต้องสงสัย ทำให้ นายมะอีซอ ดอเลาะ อายุ 39 ปี อยู่บ้านเลขที่ 62 หมู่ 4 บ้านรือเสาะ เสียชีวิต
  • 30 ส.ค. โจมตีฐานทหาร 2 จุด ที่บ้านปลายนา หมู่ 2 และบ้านกาโดะ หมู่ 4 ต.รือเสาะออก แต่ไม่มีกำลังพลได้รับบาดเจ็บ
  • 2 ก.ย. คนร้าย 2 คนมีรถกระบะยี่ห้ออีซูซุ รุ่นดีแม็กซ์สี่ประตู สีบรอนซ์ทอง ไม่ทราบหมายเลขทะเบียนเป็นพาหนะ ได้ขับไปจอดที่หน้าบ้านเลขที่ 64/1 บ้านลาเมาะนอก หมู่ 3 ต.รือเสาะออก และใช้อาวุธปืนเอ็ม 16 ยิง นายรูดิง ซา อายุ 51 ปี สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล (ส.อบต.) รือเสาะออก เจ้าของบ้าน กับ ด.ช.ฟัดลี ซา อายุ 5 ปี ขณะที่ทั้งคู่กำลังพักผ่อนอยู่ภายในบ้าน ทำให้ นายรูดิง เสียชีวิตคาที่ ส่วน ด.ช.ฟัดลี ได้รับบาดเจ็บ

รัฐไฟเขียวถังแก๊ส"อิ่มอุ่น"แก้ปัญหาบึ้มใต้

         ที่กระทรวงกลาโหม พล.ต.สุรชาติ จิตต์แจ้ง หัวหน้าส่วนประชาสัมพันธ์และสารนิเทศ สำนักรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ร่วมกันแถลงถึงการปฏิบัติภารกิจตามแนวทางของศูนย์ปฏิบัติการคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายและยุทธศาสตร์การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ศปก.กปต.)

         โดย พล.ต.สุรชาติ ระบุว่า กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) ได้เห็นชอบโครงการนำร่องจัดทำ "ถังแก๊สอิ่มอุ่น" ที่ทำจากวัสดุคอมโพสิต (ใยแก้วผสมเรซิน) โดยบริษัทพีเอพีแก๊ส แอนด์ออยล์ จำกัด เพื่อนำไปใช้งานแทนถังแก๊สเหล็กในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อลดโอกาสและปัจจัยเสี่ยงต่อการนำถังบรรจุแก๊สแบบเหล็กไปดัดแปลงเป็นระเบิดรูปแบบต่างๆ

        ทั้งนี้ หน่วยทำลายล้างวัตถุระเบิด หน่วยเฉพาะกิจอโณทัย ได้ดำเนินการทดสอบและประเมินผลพบว่า แม้จะนำดินระเบิดบรรจุเข้าไปแล้วจุดระเบิด แต่สะเก็ดระเบิดที่เกิดขึ้นเป็นขนาดชิ้นเล็ก มวลเบา ไม่สามารถกระเด็นได้ไกล ไม่เป็นอันตรายเหมือนถังแก๊สที่เป็นเหล็ก
http://narater2010.blogspot.com/

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม