วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปืนก็ยังถูกปล้น คนก็ยังตาย


http://wbns.oas.psu.ac.th/shownews.php?news_id=101414

มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานด้านการให้ความช่วยเหลือทางกฎหมายและ สิทธิมนุษยชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกแถลงการณ์หลังเหตุการณ์คนร้ายบุกโจมตีฐานปฏิบัติการ ร้อย ร.15121 ที่ ต.มะรือโบตก อ.ระแงะ จ.นราธิวาส ท้ายแถลงการณ์มีข้อเสนอน่าสนใจ นั่นคือน่าจะถึงเวลาใช้ "กระบวนการพูดคุยเจรจา" ในการแก้ไขปัญหาชายแดนใต้แทนการใช้กำลัง

แถลงการณ์ฉบับนี้ขึ้นต้นเอาไว้ว่า "ปืนก็ยังถูกปล้น คนก็ยังหาย ถึงเวลาเปลี่ยนวิธีคิด การเจรจาคือทางออกร่วมกัน กระบวนการสันติภาพต้องเริ่มจากรัฐและความร่วมมือจากทุกภาคส่วน" เนื้อความระบุว่า

จากเหตุการณ์ปะทะระหว่างกลุ่มติดอาวุธกับเจ้าหน้าที่ทหารในฐานปฏิบัติการ ร้อย ร.15121 หน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส 38 เมื่อวันที่ 19 ม.ค.2554 ส่งผลให้มีเจ้าหน้าที่เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนหนึ่ง และมีรายงานว่าอาวุธสงครามซึ่งเป็นปืนและเครื่องกระสุนจำนวนหนึ่งถูกปล้นไป ตามข่าวระบุว่าเป็นจำนวน 50-60 กระบอก อาจไม่มีนัยสำคัญในเชิงสัญลักษณ์ของการครบรอบ 7 ปีเหตุการณ์การปล้นปืนเมื่อปีพ.ศ.2547 แต่ก็เป็นสัญญาณเตือนภัยให้กับคนทำงานทั้งรัฐและองค์กรภาคประชาสังคมทุกภาค ส่วนว่า แนวทางสร้างสันติภาพในจังหวัดชายแดนใต้ที่ผ่านมานั้นยังล้มเหลวและขาดเอกภาพ จนเสียงปืนปะทะต่อสู้กันเฉกเช่นภาวะสงครามเกิดขึ้นอีกครั้ง

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อครอบครัวของเจ้าหน้าที่ ที่เสียชีวิตและบาดเจ็บทุกท่านในเหตุการณ์ครั้งนี้ และหวังว่าบทเรียนการสูญเสียในครั้งนี้จะนำไปสู่การปฏิบัติหน้าที่ในแนวทาง ที่ส่งเสริมการพัฒนาและสันติที่ยั่งยืน

ในห้วงเวลาเดียวกัน คือวันที่ 21 ม.ค.2554 ศาลอุทธรณ์ได้นัดฟังคำพิพากษาคดีอาญาอันเกี่ยวข้องกับการหายตัวไปของ ทนายสมชาย นีละไพจิตร ศาลอุทธรณ์ได้เลื่อนการอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ไปเป็นครั้งที่สอง โดยกำหนดอ่านคำพิพากษาอีกครั้งในวันที่ 7 ก.พ.2554 และก่อนหน้านี้เมื่อเดือน ธ.ค.2553 สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แถลงถึงกรณีผลการพิจารณาชี้มูลความผิดเกี่ยวกับข้อกล่าวหานายพลตำรวจนาย หนึ่งและพวกรวม 19 นาย กรณีปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ร่วมกันกลั่นแกล้งผู้ต้องหาคดีปล้นอาวุธปืนจากกองพันทหารพัฒนาที่ 4 ค่ายกรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อ.เจาะไอร้อง จ.นราธิวาส เมื่อวันที่ 4 ม.ค.2547 ซึ่งเป็นปฐมบทความขัดแย้งและความรุนแรงที่เกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดน ภาคใต้ที่ลุกลามกว้างขวาง ทั้งเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่และประชาชนผู้บริสุทธิ์จำนวนมากต้องบาด เจ็บและล้มตาย จนปัจจุบันมีผู้เสียชีวิตกว่า 4,000 คน โดยใช้เวลาในการสืบสวนสอบสวนด้วยอำนาจหน้าที่ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กว่า 6 ปี และ ป.ป.ช.ใช้เวลาในการตรวจสอบเพื่อชี้มูลเป็นเวลากว่า 3 ปี ผลการพิจารณาเป็นแต่เพียงว่าการซ้อมทรมานไม่มีหลักฐาน เป็นต้น

กรณีการปล้นปืนและกรณีทนายความของผู้ต้องหาปล้นปืนถูกบังคับให้หายไปในปี พ.ศ.2547 เป็นปรากฏการณ์ความรุนแรงทางกายภาพและทางอาวุธซึ่งดูเหมือนจะเป็นภาพซ้ำๆ ขึ้นๆ ลงๆ เหมือนคลื่นหัวใจที่มีแต่ความไม่แน่นอนท่ามกลางความสูญเสียทั้งชีวิตและ ทรัพย์สินของประชาชน ข้าราชการครู เจ้าหน้าที่รัฐ ทั้งไทยพุทธและมุสลิมอย่างไม่เลือกปฏิบัติทั้งเพศและวัย พบว่าผู้หญิง เด็ก และผู้สูงอายุตกเป็นเหยื่อของการใช้ความรุนแรงทางอาวุธต่อกันในจำนวนไม่น้อย

จากเหตุการณ์ปล้นปืนครั้งใหม่ในปี พ.ศ.2554 และความไม่คืบหน้าของคดีสำคัญในจังหวัดชายแดนภาคใต้ เช่น คดีทนายสมชาย คดีตากใบ คดีกรือเซะ คดีไอร์ปาแย ที่ยังมีความกังขาในกลไกตรวจสอบและการนำคนผิดมาลงโทษของรัฐ แม้ในขณะเดียวกันจะมีความพยายามในการพูดคุยเรื่องการปกครองพิเศษเพื่อแก้ไข ปัญหาทางการเมือง การแก้ไขปรับเปลี่ยนการบังคับกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม การริเริ่มยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ (ยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่อาศัยอำนาจตามพระราชกำหนดการบริหาร ราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 – พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) ใน อ.แม่ลาน จ.ปัตตานี โดยจะนำกฎหมายความมั่นคง (พระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ.2551) มาใช้ การปรับโครงสร้างการบริหารจัดการของรัฐ เช่น การผ่านพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ พ.ศ.2553 (กฎหมาย ศอ.บต.ฉบับใหม่) เพื่อให้พลเรือนมีบทบาทในการบริหารจัดการจังหวัดชายแดนใต้มากขึ้น การปรับปรุงการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐ การปรับทัศนคติของเจ้าหน้าที่รัฐ  รวมทั้งเสริมเพิ่มงบประมาณและกำหนดนโยบายด้านการพัฒนาของทุกภาคส่วน ทั้งนี้ ได้ใช้งบประมาณรัฐไปจำนวนไม่น้อยกว่า 1.4 แสนล้านบาทตลอดระยะเวลา 7 ปี เป็นต้น

มูลนิธิผสานวัฒนธรรมขอสนับสนุนแนวทางการเจรจาโดยมีคนกลางจากภายนอกเพื่อเป็น จุดเริ่มที่นำไปสู่การแก้ไขปัญหาความรุนแรงเชิงโครงสร้างของความขัดแย้งที่ ยืดเยื้อนี้ โดยมีข้อเสนอดังนี้คือ

รัฐต้องทบทวนและศึกษาถึงวิธีการสร้างสันติภาพแนวใหม่ที่เป็นที่ยอมรับกัน ในทางสากลว่าจะสามารถนำไปสู่สันติภาพได้แทนการปฏิบัติการทางทหารและการตอบ โจทย์โดยไม่ได้ถามและโดยไม่ได้มีการเจรจาต่อรอง การเจรจาคือทางออกร่วมกัน โดยกระบวนการสันติภาพดังกล่าวต้องเริ่มจากทั้งสองฝ่ายอย่างจริงจัง และเปิดโอกาสให้หน่วยงานที่มีความเชี่ยวชาญพิเศษทั้งในและต่างประเทศดำเนิน การ โดยความร่วมมือของรัฐ กลุ่มก่อความไม่สงบ และภาคประชาสังคมในพื้นที่


ทั้งนี้รัฐต้องเริ่มด้วยการแสดงความจริงใจและเจตจำนงในการเจรจา กับทุกฝ่าย อย่างมุ่งมั่น อดทนอดกลั้น เป็นพลังให้ทุกภาคส่วนกดดันกลุ่มก่อความไม่สงบให้ยุติการใช้ความรุนแรงเพื่อ การเรียกร้องทางการเมืองดังที่เป็นมาตลอดระยะเวลา 7 ปีที่ "ปืนก็ยังถูกปล้น คนก็ยังหาย"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม