วันอังคารที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ขบวนการลวงโลก


ขบวนการลวงโลกจากเว็บยอมใหญ่


http://www.muslimthai.net/mnet/index.php?p=a&bNo=43&qNo=3915&kword=


อัลก็อนดูซีย์ อุลามาอ์ของชาวซุนนะห์หรือชีอะห์
“มีเรื่องแปลกที่สุดในประเด็นนี้ คือ ฮะดีษที่มีการบันทึกไว้ในหนังสือ
ของอุละมาใหญ่ ท่านหนึ่งของซุนนี เอง ซึ่งสอดคล้อง ตรงกันกับตำรา
ของชีอะฮ์ ที่มีมานานแล้วนับพันปี ดังนี้

رَوَى سليمان بن إبراهيم القندوزي الحنفي ، المتوفى
 سنة : 1294 هجرية ، بالإسناد إلى جابر بن عبد الله قال
 : قال رسول الله ( صلَّى الله عليه و آله ) : " يا جابر إن أوصيائي
 و أئمة المسلمين من بعدي أولهم علي ، ثم الحسن ،
 ثم الحسين ، ثم علي بن الحسين ، ثم محمد بن علي
 المعروف بالباقر ـ ستدركه يا جابر ، فإذا لقيته فأقرأه مني
 السلام ـ ثم جعفر بن محمد ، ثم موسى بن جعفر ، ثم علي
 بن موسى ، ثم محمد بن علي ، ثم علي بن محمد ، ثم الحسن
 بن عل
ي ، ثم القائم ، اسمه اسمي و كنيته كنيتي ، محمد بن
 الحسن بن علي ذاك الذي يفتح الله تبارك و تعالى على يديه
 مشارق الأرض و مغاربها ، ذاك الذي يغيب عن أوليائه غيبة لا
 يثبت على القول بإمامته إلا من إمتحن الله قلبه للإيمان " [1]
 . [1] ينابيع المودة : 2 / 593 ، طبعة المطبعة الحيدرية ، النجف / العراق

ท่านสุลัยมาน บิน อิบรอฮีม อัลก็อนดูซีย์ อัลฮะนะฟีย์ เสียชีวิต
เมื่อ ฮ.ศ ๑๒๙๔ รายงานโดยสายสืบไปถึงท่านญาบิร บิน
อับดุลลอฮ์ กล่าวว่า ท่านรอซูล ศ ได้กล่าวว่า โอ้ญาบิร
แท้จริงบรรดาทายาทของฉัน และบรรดาอิมามของมุสลิม
ภายหลังจากฉันนั้น บุคคลแรกของพวกเขาคือ อะลี
ต่อจากนั้นคือ ฮะซัน ต่อจากนั้น คือ ฮุเซน ต่อจากนั้นคือ
อะลี บิน ฮุเซน ต่อจากนั้น คือ มุฮัมมัด บิน อะลี ผู้ถูกรู้จัก
ในนามว่า บากิร โอ้ญาบิรเอ๋ย เจ้าจะทันพบกับเขา
ดังนั้นเมื่อเจ้าพบกับเขา ก็จงอ่านสลามจากฉันให้แก่เขาด้วย
ต่อจากนั้น คือ ญะอ์ฟัร บิน มุฮัมมัด ต่อจากนั้น คือ มูซา
บิน ญะอ์ฟัร ต่อจากนั้น คือ อะลี บิน มูซา ต่อจากนั้น คือ
มุฮัมมัด บิน อะลี ต่อจากนั้น คือ อะลี บิน มุฮัมมัด
ต่อจากนั้น คือฮะซัน บิน อะลี ต่อจากนั้น คือ อัลกออิม
ผู้ดำรงอยู่ ชื่อของเขา คือชื่อของฉัน ฉายานามของเขา
คือ ฉายานามของฉัน มุฮัมมัด บิน ฮะซัน บิน อะลี
เป็นผู้ที่อัลลอฮ์จะเปิดเผยอาณาจักรแห่งแผ่นดินทั้ง
ตะวันออกและตะวันตกให้แก่เขา เขาผู้นี้เองที่จะอยู่ลับตา
ไปจากบรรดามวลมิตรของเขา ด้วยการลับหายไปวาระหนึ่ง
จนไม่มีคำกล่าวยืนยันในตำแหน่งอิมามของเขา
เว้นแต่ผู้ที่อัลลอฮ์จะทดสอบหัวใจของเขาด้วยความศรัทธาเท่านั้น

จากหนังสือ ยะนาบีอุลมะวัดดะฮ์ 2/593 พิมพ์ที่สำนักพิมพ์ฮัยดะรียะฮ์ เมืองนะญัฟ อิรัก”

.......................................................................................................................................................




               ข้อความที่ชีอะห์จาก เว็บยอมใหญ่ เสนอ ตามที่นำมา
แสดงข้างต้นนี้ เขาอ้างว่า เป็นฮะดีษของท่านนบี ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะซัลลัม
โดยท้ายข้อความได้ระบุชื่อหนังสือ,ชื่อสำนักพิมพ์และสถานที่พิมพ์ไว้เรียบร้อย  
 ซึ่งทำให้เราแปลกใจยิ่งนักว่า ทำไมตำราของชาวซุนนี จึงถูกพิมพ์
ที่แหล่งรวมของชาวชีอะห์

                และยิ่งเขากล่าวว่า เป็นฮะดีษที่มีการบันทึกไว้ในหนังสือ
ของอุละมาใหญ่ท่านหนึ่งของซุนนีเอง ก็ยิ่งทำให้เรา ประหลาดใจมากยิ่งขึ้นว่า
ถ้าหากข้อความที่อุลามาอ์ใหญ่คนดังกล่าวนำมาระบุในตำราของเขามี
ความถูกต้อง เพราะเหตุใดเขาจึงไม่เข้ารีตชีอะห์ แต่เขากลับได้ชื่อว่
าเป็นอุลามาอ์ของชาวซุนนะห์ เรื่องนี้มีสิ่งใดแฝงเร้นอยู่  เป็นประเด็น
ที่ทำให้เราอยากรู้ความจริงยิ่งนัก

                เมื่อเราแกะรอยบุคคลที่เขาอ้างว่า เป็นอุลามาอ์ใหญ่ของ
ชาวซุนนีชื่อ สุลัยมาน บิน อิบรอฮีม อัลก็อนดูซีย์ อัลฮะนะฟีย์ 
เราก็ได้ประจักษ์ข้อเท็จจริงดังนี้
القندوزي الحنفي (1220-1270 هـ=1805-1853)
هو سليمان بن
 خوجه إبراهيم قبلان الحسيني الحنفي النقشبندي القندوزي


อัลก็อนดูซีย์ อัลฮะนาฟีย์ (1220 – 1270 ฮิจเราะห์ศักราช 1805 – 1853)
เขาคือ สุไลมาน บิน เคาญะห์ (หรือค่อวาญะห์)  อิบรอฮีม กุบุลาน 
อัลฮุซัยนีย์ อัลฮะนาฟีย์ อัลนักชะบันดีย์ อัลก็อนดูซีย์  (อัลอะอ์ลาม 3/125)

               คำว่า อัลนักชะบันดีย์ คือชื่อของฏอรีเกาะห์ (สายหนึ่ง)
ของกลุ่มซูฟีย์  ซึ่งเป็นการระบุว่า บุคคลผู้นี้เป็นผู้เลื่อมใสในซูฟีสาย
นักชะบันดีย์ และคำว่า อัลฮะนาฟีย์ หมายถึงเขาเลื่อมใสในแนวทาง
ของมัสฮับฮะนาฟีย์
                ก่อนที่จะกล่าววิจารณ์ในประเด็นใดต่อไป ก็ขอกล่าวถึงคำว่า
ซุนนี กับ ชีอีย์ (ชีอะห์) สักเล็กน้อยว่า ความเข้าใจของผู้คนโดยทั่วไป
หรือแม้กระทั่งแนวคิดของชีอะห์เองนั้น มักจะอ้างว่า คนที่อยู่นอกรีดชีอะห์
จะถือว่าเป็นชาวซุนนีย์ ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นพวกใดหรือกลุ่มใดก็ตาม
                ดังนั้นเมื่อมีคำว่า “อัลฮะนาฟีย์” ถูกกำกับท้ายชื่อของเขาด้วย
ก็ทำให้ชีอะห์กระพือปีกแล้วโพทะนาว่า อุลามาอ์ของชาวซุนนีย์ใน
มัซฮับฮะนาฟีย์ ก็มีคำรายงานตรงกับตำราของชาวชีอะห์ ดังที่เว็บ
ยอมใหญ่นำมาโกหกให้ได้เห็น
                โดยข้อเท็จจริงแล้ว มีอุละมาอ์ของชีอะห์จำนวนไม่น้อย
ที่เล่นบทตะกียะห์ (อำพรางตน) เข้ามาแฝงร่างอยู่กับชาวซุนนะห์
แล้วแพร่กระจายแนวคิดชีอะห์ในหมู่พี่น้องมุสลิม และบางคนถึงกับ
แต่งตำราอ้างฮะดีษเก้ ผสมนิยายประวัติศาสตร์ออกสู่สายตาผู้คน
และหนึ่งในบุคคลที่กล่าวถึงนี้ก็คือ สุไลมาน บิน อิบรอฮีม อัลก็อน
ดูซีย์ อัลฮะนาฟี  ซึ่งเขาเป็นชีอะห์ รอฟิเฏาะห์ ไม่ใช่ชาวซุนนะห์
แต่อย่างใด
                แม้ว่าเขาจะอำพรางตน หลอกผู้คนทั่วไปให้กล่าวขาน
คำท้ายชื่อของเขาว่า อัลฮะนาฟีย์ และสร้างความเข้าใจผิดให้แก่
ผู้คนว่าเขาเป็นชาวซุนนี  แต่นักวิชาการซุนนะห์ก็ประจานความหน้าไหว้
หลังหลอกของเขาออกมาให้เห็น เช่นท่านซุบกีย์ ได้กล่าวว่า

 وهو رافضي والرافضة عند الأحناف كفار

เขาเป็นชีอะห์รอฟิเฏาะห์ และรอฟิเดาะห์ในทัศนะของฮะนา
ฟีนั้นคือ กาเฟร  (หนังสือฟะตาวาของอัสซุบกีย์ 2/590)

 ولا يستقيم أن يكون
 القندوزي حنفيا ورافضيا فإن الرافضة عند الأحناف كفار

และอัลก็อนดูซีย์นั้นไม่ได้อยู่ในสถานะของ ฮะนาฟี (ซุนนี) 
และรอฟิเฏาะห็ (ชีอะห์) พร้อมกัน เนื่องจากบรรดารอฟิเฏาะห์
ในทัศนะของฮานะฟีนั้นคือ กาเฟร” (หนังสือฟะตาวาของ
อัสซุบกีย์ 2/590)

                 คำพูดข้างต้นนี้เป็นการชี้ตรงประเด็นว่า เขาจะเป็น
ซุนนะห์และชีอะห์ในเวลาเดียวกันไม่ได้โดยเด็ดขาด เพราะถ้าเขา
อยู่ในมัซฮับฮะนาฟีจริง ก็เท่ากับเขาฮุก่มตัวเองว่าเป็นกาเฟร 
ตามที่บรรดานักวิชาการของมัซฮับฮานาฟีได้ตัดสินว่า ชีอะห์
รอฟิเฏาะห์ เป็นกาเฟร เช่น

  وكان أبو يوسف صاحب أبي
 حنيفة يقول: « لا أصلي خلف جهمي ولا رافضي ولا قدري»

และอบู ยูซุบ เพื่อของอิหม่ามฮะนาฟี กล่าวว่า ฉันจะ
ไม่ละหมาดตามหลังพวกญะฮ์มียะห์ และพวกรอฟิเฏาะห์ 
หรือแม้กระทั่งพวกก็อดรียะห์  (หนังสืออธิบายรากฐาน
การศรัทธาของอะห์ลิสซุนนะห์ โดยลักละกาอีย์ 4/733)

                และในขณะที่ชาวซุนนะห์ ยกย่องท่านอบูบักร์,
ท่านอุมัรและศอฮาบะห์ท่านอื่นๆ แต่ชีอะห์ รอฟิเฏาะห์
กลับด่าท่านอบูบักร์, ท่านอุมัร และบรรดาศอฮาบะห์
ดังนั้นซุนนะห์และชีอะห์จึงเป็นเหมือนเส้นขนานที่ไม่มีวัน
บรรจบกันได้

                 ชีอะห์ผู้นี้ไม่ใช่แค่เพียงแสดงภาพหลอกพี่น้อง
มุสลิมไปเข้ารีตของพวกเขาเท่านั้น  แต่เขายังเขียนตำรา
ประเภทจริงปนเท็จไว้หลอกคนรุ่นหลังอีกต่างหาก และตำรา
ของเขานี้แหละ จะบอกตัวตนที่แท้จริงของเขา ได้ดีกว่า
การที่ผู้อื่นจะกล่าวถึงเขา

                ตำราที่โด่งดังของชีอะห์ผู้นี้มีชื่อว่าหนังสือ
ยะนาบีอุ้ลมะวัดดะห์ เหตุที่เรากล่าวว่าเป็นตำราที่โด่งดังนั้นคือ
ทางด้านจริงปนเท็จ ซึ่งรวมไว้ด้วยฮะดีษอุปโลกน์มากมาย
หนึ่งในนั้นคือต้นที่ เว็บยอมใหญ่ เอามาหลอกชาวบ้านตามที่
แสดงให้เห็นข้างต้น หรืออย่างเช่นเรื่องอุปโลกน์ต่อไปนี้

 « توضع يوم القيامة منابر حول العرش لشيعتي وشيعة أه
ل بيتي المخلصين في ولايتنا ويقول الله تعال
ى: هلمو يا عبادي لأنثر عليكم كرامتي فقد أوذيتم في الدنيا»
ธรรมมาส จะถูกวางเรียงรายรอบ อะรัช เพื่อชีอะห์ขอ
งฉันและชีอะห์ของอะห์ลุ้ลบัยต์ของฉัน พวกเขาคือบรรดา
ผู้บริสุทธิ์ใจในการปกครองของพวกเรา และอัลลอฮ์ 
ผู้ทรงสูงส่งจะกล่าวว่า มานี่เถิด โอ้บ่าวของข้า เพื่อข้า
จะได้แผ่ความใจบุญของข้าให้แก่พวกเจ้า  เพราะพวกเจ้า
โดนทำร้ายในดุนยามาแล้ว”  (ยะนาบีอุ้ลมะวัดดะห์ 1/56)

                ข้อความข้างต้นนี้ไม่มีบันทึกในตำราฮะดีษเล่มใดๆเลย
และที่สำคัญก็คือ ข้อความที่กล่าวอ้างว่า พระองค์อัลลอฮ์ได้
ทรงกล่าวว่า โอ้บ่าวของข้า............. ซึ่งเป็นการแอบอ้างวะฮีย์
ของอัลลอฮ์ และกล่าวเท็จต่อพระองค์อัลลอฮ์อย่างร้ายกาจที่สุด

                และนี่เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งจากเรื่องอุปโลกน์ในตำราเล่มดังกล่าว
 عن جابر قال : قال رسول الله صلى الله عليه وآله
 : أنا سيد النبيين وعلي سيد الوصيين وإ
ن أوصيائي بعدي إثنا عشر أولهم علي وآخرهم القائم المهدي

จากญาบิร กล่าวว่า ท่านรอซูลุ้ลลอฮ์ ศ็อลล็อลลอฮุอลัยฮิวะ
ซัลลัม กล่าวว่า ฉันเป็นนายของบรรดานบี และอาลีเป็นนาย
ของบรรดาวะซีย และบรรดาวะซีย์หลังจากฉันนั้นมีสิบสองคน 
คนแรกของพวกเขาคือ อาลี และคนสุดท้ายของพวกเขาคือ 
อัลกออิม อัลมะห์ดี”  (ยะนาบีอุ้ลมะวัดดะห์ 3/104)

            คำวิจารณ์ของนักวิชาการชาวซุนนะห์ และตัวอย่างเรื่อง
อุปโลกน์เท่าที่แสดงให้เห็นข้างต้นนี้ คงเพียงพอแล้วที่จะยืนยันอะกีดะห์
ที่แท้จริง ของ สุไลมาน บิน อิบรอฮีม อัลก็อนดูซีย์ อัลฮะนาฟี บุคคล
ที่ชีอะห์ เว็บยอมใหญ่ ประโคมข่าวว่า เขาเป็นอุลามาอ์ของชาวซุนนะห์
แต่ความจริงแล้วเขาคือชีอะห์จอมลวงโลก และเว็บยอมใหญ่ก็ขานรับ
นำเรื่องโกหกนี้มาหลอกลวงคนไทยอีกทอดหนึ่ง
                พวกเขาโกหกกันเป็นขบวนการ โดยไม่มียางอาย
 ด้วยเหตุที่ “ตะกียะห์” หรือการอำพรางนั้นเป็นรากฐานศาสนาของพวกเขา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม