ท่านคิดว่าจริงหรือไม่กับเรื่องที่ว่าชาวยิว(อิสราเอล),ชาวคริสต์และชาวอิสลาม ล้วนแล้วแต่มีพระเ้จ้าองค์เดียวกัน เพียงแต่ใช้คัมภีร์คนละเล่ม (ซึ่งทั้งสามศาสนานี้ได้ถูกเรียกว่า ชาวคัมภีร์)
ยิวตั้งก่อนบอกว่ามีพระเจ้าองค์เดียว แล้วก็ทำนายไว้ว่าอนาคตจะมีศาสดาใหม่อีก 2 ท่าน (คล้ายๆ พุทธที่มีทำนายเรื่อง พระศรีอริยเมตรไตร มาเป็นศาสดาสุดท้าย)
คริสตั้งทีหลัง บอกว่าพระเจ้าของยิวคือพระเจ้าของคริส แล้วก็ทำนายว่าจะมีศาสดาใหม่อีก 1 ท่าน
อิสลามตั้งหลังสุด บอกว่าพระเจ้าของยิว และคริสคือพระเจ้าของอิสลาม สรุปว่าทั้ง 3 ศาสนามีพระเจ้าองค์เดียวกัน เรียกชื่อต่างกันเฉยๆ
ทั้งสามศาสนาจึงมีพระเจ้าองค์เดียวกัน ทีนี้ก็แปลว่า ภูเขาศักดิ์สิทธคือภูเขาลูกเดียวกัน เลยทำสงครามกันแย่งภูเขา รบกันนาน พันพันปี จนทุกวันนี้
ก่อนจะรบก็ขอพรจากพระเจ้าขอให้ฆ่าคนที่นับถือต่างศาสนาให้ได้เยอะๆ
เหอเหอ รู้หรือเปล่าว่าสงคราม มันเป็นบุตรของ ซาตาน ถ้าซาตานรู้ว่ามนุษย์ฆ่ากันเองเพื่อพระเจ้า ซานตานคงดีใจปิดอเวจีฉลอง พระเจ้าคงนั่งร้องไห้
คริสตั้งทีหลัง บอกว่าพระเจ้าของยิวคือพระเจ้าของคริส แล้วก็ทำนายว่าจะมีศาสดาใหม่อีก 1 ท่าน
อิสลามตั้งหลังสุด บอกว่าพระเจ้าของยิว และคริสคือพระเจ้าของอิสลาม สรุปว่าทั้ง 3 ศาสนามีพระเจ้าองค์เดียวกัน เรียกชื่อต่างกันเฉยๆ
ทั้งสามศาสนาจึงมีพระเจ้าองค์เดียวกัน ทีนี้ก็แปลว่า ภูเขาศักดิ์สิทธคือภูเขาลูกเดียวกัน เลยทำสงครามกันแย่งภูเขา รบกันนาน พันพันปี จนทุกวันนี้
ก่อนจะรบก็ขอพรจากพระเจ้าขอให้ฆ่าคนที่นับถือต่างศาสนาให้ได้เยอะๆ
เหอเหอ รู้หรือเปล่าว่าสงคราม มันเป็นบุตรของ ซาตาน ถ้าซาตานรู้ว่ามนุษย์ฆ่ากันเองเพื่อพระเจ้า ซานตานคงดีใจปิดอเวจีฉลอง พระเจ้าคงนั่งร้องไห้
พระเจ้า ของชาวยิว และชาวคริสต์ เป็นพระเจ้าองค์เดียวกันครับ พระเยซูคริสต์ ท่านมาอธิบายพระลักษณะของพระเจ้า และพระประสงค์ของพระเจ้า ให้ชัดเจนขึ้นครับ แต่ส่วนของชาวอิสลามผมไม่ทราบครับ ยังไม่มีความรู้เชิงลึกในศาสนาอิสลาม ต้องรบกวนผู้รู้เชิงลึกมาอธิบายเพิ่มเติม
สำหรับส่วนตัวนะครับ พระเจ้าในสากลโลกมีแค่ 1 คือพระเยโฮวาห์ เท่านั้น ในศาสนาคริสต์ แต่ศาสนาอิสนาเชื่อว่าเป็นพระอัลเลาะห์ ซึ่งเป็นคนละองค์ครับ ดังนั้นจะบอกว่าชาวคริสต์ มีพระเจ้าองค์เดียวกับชาวอิสลามและชาวอิสลามมีพระเจ้าองค์เดียวกับชาวคริสต์ รับรองว่าไม่มีใครยอมใครแน่นอนครับ
ผมคิดว่าพระเจ้าของยิว คริสต์ และอิสลามคือพระเจ้าเดียวกันครับ
เพียงแต่อิสลามไม่ได้เน้นถึงพระคริสต์มาก
คัมภีร์ยิวก็พูดถึงพระมาไซยาที่จะมาไถ่บาป
ส่วนคัมภีร์ของชาวคริสต์ก็พูดถึงพระเยซูมากเหลือเกิน
ส่วนคัมภีร์ของมุสลิมผมเคยอ่านนิดเดียวครับ
เพื่อนมุสลิมของผมเขาเชื่อว่าเยซูหรือนบีอีซาไม่ได้เป็นพระเจ้าเป็นเพียง Prophet(ผู้เผยพระวจนะ) เหมือนท่านอื่น ๆ
เพียงแต่อิสลามไม่ได้เน้นถึงพระคริสต์มาก
คัมภีร์ยิวก็พูดถึงพระมาไซยาที่จะมาไถ่บาป
ส่วนคัมภีร์ของชาวคริสต์ก็พูดถึงพระเยซูมากเหลือเกิน
ส่วนคัมภีร์ของมุสลิมผมเคยอ่านนิดเดียวครับ
เพื่อนมุสลิมของผมเขาเชื่อว่าเยซูหรือนบีอีซาไม่ได้เป็นพระเจ้าเป็นเพียง Prophet(ผู้เผยพระวจนะ) เหมือนท่านอื่น ๆ
หลักฐานจากคัมภีร์เล่มสุดท้ายของพระเจ้า คัมภีร์อัลกุรอาน บทที่4 โองการที่150-159
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ(พระเจ้าองค์เดียว) และบรรดาร่อซูล(ศาสนฑูต)ของพระองค์และต้องการที่จะแยกระหว่างอัลลอฮฺ และบรรดาร่อซูลของพระองค์ และกล่าวว่า เราศรัทธาในบางคนและปฏิเสธศรัทธาในบางคน และพวกเขาต้องการที่จะยึดเอาในระหว่างนั้น ซึ่งทางใดทางหนึ่งนั้น (แยกศาสนาหนึ่งเดียวของพระเจ้าออกเป็นศาสนาต่างๆ โดยยอมรับศาสดาท่านใดท่านหนึ่ง และปฏิเสธศาสดาท่านอื่นได้แก่ ยิว คริสต์ ฯลฯ)
ชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธศรัทธาโดยแท้จริง และเราได้เตรียมไว้แล้ว ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และบรรดาร่อซูลของพระองค์ และมิได้แยกระหว่างคนหนึ่งคนใดในพวกเขานั้น(ยอมรับในคำยืนยันในอำนาจหนึ่งเดียวของพระเจ้า โดยไม่มีมนุษย์และสิ่งถูกสร้างอื่นใดมีส่วนร่วมในอำนาจของพระองค์ จากข่าวสารที่พระเจ้าส่งผ่านบรรดาศาสนฑูตตั้งแต่ท่านแรกถึงท่านสุดท้าย) ชนเหล่านี้แหละ(มุสลิม) พระองค์จะทรงประทานแก่พวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ
บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ จะขอร้องเจ้าให้เจ้านำคัมภีร์ฉบับหนึ่งจากฟากฟ้าลงมาแก่พวกเขา แท้จริงนั้นพวกเขาได้ขอร้องมูซา(โมเสส) ซึ่งสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นมาแล้ว โดยที่พวกเขากล่าวว่า จงให้พวกเราเห็นอัลลอฮฺโดยชัดแจ้งเถิด แล้วฟ้าฝ่าก็ได้คร่าพวกเขา เนื่องด้วยความอธรรมของพวกเขา ภายหลังพวกเขาก็ได้ยึดถือลูกวัวหลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดเจนได้มายังพวก เขา แล้วเราก็อภัยให้ในเรื่องนั้นและเราได้ให้แก่มูซา(โมเสส) ซึ่งอำนาจอันชัดเจน
และเราได้ยกภูเขาอัฏฏูร์(ภูเขาซัยตูน)ขึ้นเหนือพวกเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งพันธสัญญาของพวกเขา(ชาวยิว) และเราได้กล่าวแก่พวกเขาว่า จงเข้าประตู(เมืองปาเลสไตน์)นั้นไป โดยโน้มศีรษะลง และเราได้กล่าวแก่พวกเขา(ชาวยิว) ว่า จงอย่าได้ละเมิดในวันสับบะโต และเราได้เอาจากพวกเขาซึ่งสัญญาอันหนักแน่น
แล้วเราจึงได้กริ้วพวกเขา และละอ์นัตพวกเขา (ตัดขาดจากการละเมิดสัญญา ไม่ให้ชาวยิวอิสราเอลได้เป็นผู้ปกครองแผ่นดินปาเลสไตน์) เนื่องด้วยการที่พวกเขาทำลายสัญญาของพวกเขา และปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮฺและฆ่าบรรดานะบี(ศาสดา) โดยปราศจากความเป็นธรรมและการที่พวกเขากล่าวว่า หัวใจของเรามีเปลือกหุ้มอยู่ หามิได้ อัลลอฮฺได้ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกเขาต่างหาก เนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธากัน นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และเนื่องจากการที่พวกเขา(ชาวยิว) ปฏิเสธศรัทธา และกล่าวให้ร้ายแก่มัรยัม(เวอร์จินแมรี่) ซึ่งความเท็จอันใหญ่หลวง
และการที่พวกเขา(ชาวยิว)กล่าวว่า แท้จริงพวกเราได้ฆ่า อัล-มะซีห์(แมซไซอา) อีซา(เยซู) บุตรของมัรยัม(พระนางแมรี่) ร่อซูล(ศาสนฑูต) ของอัลลอฮฺ และพวกเขาหาได้ฆ่าอีซา(เยซู) และหาได้ตรึงเขาบนไม้กางเขนไม่ แต่ทว่าเขา(สาวกท่านหนึ่ง) ถูกให้เหมือน(เยซู) แก่พวกเขา และแท้จริงบรรดาผู้ที่ขัดแย้งในตัวเขา นั้นแน่นอนย่อมอยู่ในความสงสัย เกี่ยวกับเขาพวกเขาหามีความรู้ใด ๆ ต่อเขาไม่ นอกจากคล้อยตามความนึกคิดเท่านั้น และพวกเขามิได้ฆ่า(เยซู) เขาด้วยความแน่ใจ
หามิได้ อัลลอฮฺได้ทรงยกเขา (เยซู) ขึ้นไปยัง พระองค์ต่างหาก และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณเสมอ
และไม่มีอะฮ์ลิลกิตาบ(ชาวคัมภีร์)คนใด นอกจากแน่นอนเขาจะต้องศรัทธา ต่อท่านนะบีอีซา(เป็นบ่าวของพระเจ้ามิใช่บุตรของพระองค์) ก่อนที่เขาจะตาย และวันกิยามะฮ์(วันแห่งการฟื้นคืนชีพ) เขา(เยซู) จะเป็นพยานยืนยันพวกเขาเหล่านั้น(ว่าใครอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง)
แท้จริงบรรดาผู้ปฏิเสธการศรัทธาต่ออัลลอฮฺ(พระเจ้าองค์เดียว) และบรรดาร่อซูล(ศาสนฑูต)ของพระองค์และต้องการที่จะแยกระหว่างอัลลอฮฺ และบรรดาร่อซูลของพระองค์ และกล่าวว่า เราศรัทธาในบางคนและปฏิเสธศรัทธาในบางคน และพวกเขาต้องการที่จะยึดเอาในระหว่างนั้น ซึ่งทางใดทางหนึ่งนั้น (แยกศาสนาหนึ่งเดียวของพระเจ้าออกเป็นศาสนาต่างๆ โดยยอมรับศาสดาท่านใดท่านหนึ่ง และปฏิเสธศาสดาท่านอื่นได้แก่ ยิว คริสต์ ฯลฯ)
ชนเหล่านี้แหละคือผู้ปฏิเสธศรัทธาโดยแท้จริง และเราได้เตรียมไว้แล้ว ซึ่งการลงโทษที่ยังความอัปยศแก่ผู้ปฏิเสธศรัทธาทั้งหลาย
และบรรดาผู้ที่ศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และบรรดาร่อซูลของพระองค์ และมิได้แยกระหว่างคนหนึ่งคนใดในพวกเขานั้น(ยอมรับในคำยืนยันในอำนาจหนึ่งเดียวของพระเจ้า โดยไม่มีมนุษย์และสิ่งถูกสร้างอื่นใดมีส่วนร่วมในอำนาจของพระองค์ จากข่าวสารที่พระเจ้าส่งผ่านบรรดาศาสนฑูตตั้งแต่ท่านแรกถึงท่านสุดท้าย) ชนเหล่านี้แหละ(มุสลิม) พระองค์จะทรงประทานแก่พวกเขาซึ่งรางวัลของพวกเขา และอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงอภัยโทษ ผู้ทรงเมตตาเสมอ
บรรดาผู้ได้รับคัมภีร์ จะขอร้องเจ้าให้เจ้านำคัมภีร์ฉบับหนึ่งจากฟากฟ้าลงมาแก่พวกเขา แท้จริงนั้นพวกเขาได้ขอร้องมูซา(โมเสส) ซึ่งสิ่งที่ใหญ่กว่านั้นมาแล้ว โดยที่พวกเขากล่าวว่า จงให้พวกเราเห็นอัลลอฮฺโดยชัดแจ้งเถิด แล้วฟ้าฝ่าก็ได้คร่าพวกเขา เนื่องด้วยความอธรรมของพวกเขา ภายหลังพวกเขาก็ได้ยึดถือลูกวัวหลังจากที่บรรดาหลักฐานอันชัดเจนได้มายังพวก เขา แล้วเราก็อภัยให้ในเรื่องนั้นและเราได้ให้แก่มูซา(โมเสส) ซึ่งอำนาจอันชัดเจน
และเราได้ยกภูเขาอัฏฏูร์(ภูเขาซัยตูน)ขึ้นเหนือพวกเขาเพื่อให้ได้มาซึ่งพันธสัญญาของพวกเขา(ชาวยิว) และเราได้กล่าวแก่พวกเขาว่า จงเข้าประตู(เมืองปาเลสไตน์)นั้นไป โดยโน้มศีรษะลง และเราได้กล่าวแก่พวกเขา(ชาวยิว) ว่า จงอย่าได้ละเมิดในวันสับบะโต และเราได้เอาจากพวกเขาซึ่งสัญญาอันหนักแน่น
แล้วเราจึงได้กริ้วพวกเขา และละอ์นัตพวกเขา (ตัดขาดจากการละเมิดสัญญา ไม่ให้ชาวยิวอิสราเอลได้เป็นผู้ปกครองแผ่นดินปาเลสไตน์) เนื่องด้วยการที่พวกเขาทำลายสัญญาของพวกเขา และปฏิเสธบรรดาโองการของอัลลอฮฺและฆ่าบรรดานะบี(ศาสดา) โดยปราศจากความเป็นธรรมและการที่พวกเขากล่าวว่า หัวใจของเรามีเปลือกหุ้มอยู่ หามิได้ อัลลอฮฺได้ทรงประทับตราบนหัวใจของพวกเขาต่างหาก เนื่องจากการปฏิเสธศรัทธาของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ศรัทธากัน นอกจากเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
และเนื่องจากการที่พวกเขา(ชาวยิว) ปฏิเสธศรัทธา และกล่าวให้ร้ายแก่มัรยัม(เวอร์จินแมรี่) ซึ่งความเท็จอันใหญ่หลวง
และการที่พวกเขา(ชาวยิว)กล่าวว่า แท้จริงพวกเราได้ฆ่า อัล-มะซีห์(แมซไซอา) อีซา(เยซู) บุตรของมัรยัม(พระนางแมรี่) ร่อซูล(ศาสนฑูต) ของอัลลอฮฺ และพวกเขาหาได้ฆ่าอีซา(เยซู) และหาได้ตรึงเขาบนไม้กางเขนไม่ แต่ทว่าเขา(สาวกท่านหนึ่ง) ถูกให้เหมือน(เยซู) แก่พวกเขา และแท้จริงบรรดาผู้ที่ขัดแย้งในตัวเขา นั้นแน่นอนย่อมอยู่ในความสงสัย เกี่ยวกับเขาพวกเขาหามีความรู้ใด ๆ ต่อเขาไม่ นอกจากคล้อยตามความนึกคิดเท่านั้น และพวกเขามิได้ฆ่า(เยซู) เขาด้วยความแน่ใจ
หามิได้ อัลลอฮฺได้ทรงยกเขา (เยซู) ขึ้นไปยัง พระองค์ต่างหาก และอัลลอฮฺเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณเสมอ
และไม่มีอะฮ์ลิลกิตาบ(ชาวคัมภีร์)คนใด นอกจากแน่นอนเขาจะต้องศรัทธา ต่อท่านนะบีอีซา(เป็นบ่าวของพระเจ้ามิใช่บุตรของพระองค์) ก่อนที่เขาจะตาย และวันกิยามะฮ์(วันแห่งการฟื้นคืนชีพ) เขา(เยซู) จะเป็นพยานยืนยันพวกเขาเหล่านั้น(ว่าใครอยู่ในหนทางที่ถูกต้อง)
************************************************
ส่วนข้อโต้แย้งของมุสลิม ก็ว่า
ศาสนา ที่มาก่อน คือ ยิว ศาสดา ของยิว คือ มูซา (โมเสส) ซึ่งเป็นศาสนทูตของพระเจ้า นั่นคืออัลลอฮฺ
อัลลอฮฺได้ประทานคัมภีร์ให้มูซา ต่อมา หลังจากที่่มูซาเสียชีวิตไป คัมภีร์ได้ถูกบิดเบือน
(ยิวสมัยปัจจุบันเชื่อว่า คนนอกศาสนา ที่ไม่ใช่ยิว นั้นต่ำต้อยก็หมา)
ต่อ มา คริสต์
หลังจากศาสนายูดายได้ถูกบิดเบือน ต่อมา อัลลอฮฺก็ได้ส่ง อีซา (เยซู) ลงมาเผยแพร่ศาสนาคริสตร์
ต่อมา ได้ประทานคัมภีร์ให้ แก่ อีซา หลังจากที่อีซา ถูกกล่าวหาว่า โดนตรึงไม้กางเขน เสียชีวิตไปแล้ว
(แท้ที่จริง อีซา ถูกยกขึ้นไปบนฟากฟ้า และจะลงมาอีกครั้ง ก่อนวันสิ้นโลก เพื่อฆ่าสัปหลาด ที่ถูกเรียกว่า ดัจญาล
ซึ่งสัปหลาดตัวนี้ เป็นชาวยิว)
หลังจากที่มีข่าวว่าอีซาเสียชีวิต คัมภีร์จึงได้ถูกบิดเบือน จนไม่เหลือ เค้าเดิม
ต่อมา โลกววุ่นวายมาก พระเจ้าจึงได้ส่งศาสนาคนสุดท้าย ลงมา นั่น คือมุหัมมัด ศ็อลฯ
พร้อมกับคัมภีร์อัลกุรฺอาน ซึ่งถึงแม้ มุหัมมัด จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่อัลกุรฺอาน ฉบับปัจจุบันนี้ ก็ยังเป็นเล่มเดิม
ที่ไม่ได้ถูกบิดเบือนแต่อย่างใด (ซึ่งชาวชีอะฮฺอิษนาอาจาริยะฮฺเชื่อว่ากุรฺอานถูกบิดเบือน/ชีอะฮฺอิษนาอาจารียะฮฺไม้ใช่มุสลิม เป็นแค่ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว ชีอะฮฺอิษนา๊ฯ นี่ตัวทำลายอิสลามเลย)
สรุป พระเจ้าของทั้งสามศาสนาคือ องค์เดียวกัน
ทั้งสามศาสนานี้คือลูกพี่ลูกน้องกัน
และที่ชาวคริสเชื่อว่า อีซา คือบุตรของพระเจ้า ไม่ได้เป็นความจริงแต่ประการใด เพราะ พระเจ้าบอกไว้ในอัลกุรฺอานว่า พระองค์ไม่ได้ถูกกำเนิด
และพระองค์ก็ไม่ได้ให้กำเนิดใคร
อีซา เป็นเพียงบุตรของมัรยัม ที่พระเจ้าได้ทรงให้อีซาเกิดมาโดยไม่มีพ่อ
อัลลอฮฺได้ประทานคัมภีร์ให้มูซา ต่อมา หลังจากที่่มูซาเสียชีวิตไป คัมภีร์ได้ถูกบิดเบือน
(ยิวสมัยปัจจุบันเชื่อว่า คนนอกศาสนา ที่ไม่ใช่ยิว นั้นต่ำต้อยก็หมา)
ต่อ มา คริสต์
หลังจากศาสนายูดายได้ถูกบิดเบือน ต่อมา อัลลอฮฺก็ได้ส่ง อีซา (เยซู) ลงมาเผยแพร่ศาสนาคริสตร์
ต่อมา ได้ประทานคัมภีร์ให้ แก่ อีซา หลังจากที่อีซา ถูกกล่าวหาว่า โดนตรึงไม้กางเขน เสียชีวิตไปแล้ว
(แท้ที่จริง อีซา ถูกยกขึ้นไปบนฟากฟ้า และจะลงมาอีกครั้ง ก่อนวันสิ้นโลก เพื่อฆ่าสัปหลาด ที่ถูกเรียกว่า ดัจญาล
ซึ่งสัปหลาดตัวนี้ เป็นชาวยิว)
หลังจากที่มีข่าวว่าอีซาเสียชีวิต คัมภีร์จึงได้ถูกบิดเบือน จนไม่เหลือ เค้าเดิม
ต่อมา โลกววุ่นวายมาก พระเจ้าจึงได้ส่งศาสนาคนสุดท้าย ลงมา นั่น คือมุหัมมัด ศ็อลฯ
พร้อมกับคัมภีร์อัลกุรฺอาน ซึ่งถึงแม้ มุหัมมัด จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่อัลกุรฺอาน ฉบับปัจจุบันนี้ ก็ยังเป็นเล่มเดิม
ที่ไม่ได้ถูกบิดเบือนแต่อย่างใด (ซึ่งชาวชีอะฮฺอิษนาอาจาริยะฮฺเชื่อว่ากุรฺอานถูกบิดเบือน/ชีอะฮฺอิษนาอาจารียะฮฺไม้ใช่มุสลิม เป็นแค่ผู้ที่อ้างตัวว่าเป็นเท่านั้น แต่แท้ที่จริงแล้ว ชีอะฮฺอิษนา๊ฯ นี่ตัวทำลายอิสลามเลย)
สรุป พระเจ้าของทั้งสามศาสนาคือ องค์เดียวกัน
ทั้งสามศาสนานี้คือลูกพี่ลูกน้องกัน
และที่ชาวคริสเชื่อว่า อีซา คือบุตรของพระเจ้า ไม่ได้เป็นความจริงแต่ประการใด เพราะ พระเจ้าบอกไว้ในอัลกุรฺอานว่า พระองค์ไม่ได้ถูกกำเนิด
และพระองค์ก็ไม่ได้ให้กำเนิดใคร
อีซา เป็นเพียงบุตรของมัรยัม ที่พระเจ้าได้ทรงให้อีซาเกิดมาโดยไม่มีพ่อ
ใช่ศาสนาเดียวกันแต่ใช้คำภีร์คนละเล่ม http://www.youtube.com/watch?v=clRBVVSYrq8 เอาไปดูแล้วกันน่ะค่ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น