เพียงแค่อิมามตรัสว่า"จงเป็น" มันก็จะ"เป็น.
ผู้คนส่วนมากในบ้านเราเมื่อจะพิจารณาถึงหลักความเชื่อในเรื่องของ "ผู้นำ" หลังจากนบีหรือเรื่องของ "อิมามะฮฺ" ตามหลักความเชื่อถือของพวกลัทธิรอฟิเฎาะฮฺแล้ว ก็มักจะศึกษาอย่างฉาบฉวยเพียงแค่ว่า
มีหลักฐานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวไหม?
ท่านนบีแต่งตั้งท่านอะลีให้เป็นผู้นำที่ฆอดีรคุมไหม?
หะดิษ 12 คอลีฟะฮฺคือผู้นำของพวกรอฟิเฎาะฮฺใช่ไหม? เป็นต้น
ซึ่งหากเราศึกษาประเด็นเหล่านี้อย่างฉาบฉวยจากการนำเสนอของพวกรอฟิเฎาะฮฺที่จะพยายาม "ฝืน" โดยนำหลักฐานมาอธิบายอย่างบิดเบือน ก็มักจะทำให้คนที่ขาดความรู้เกิดการหลงไหลและสุดท้ายก็เข้ารีตเดินหน้าสู่ความเป็นรอฟิเฎาะฮฺไปในที่สุด
โดยเพียงแค่นึกฝันเอาเองว่ามีหลักฐานที่สนับสนุนความเชื่อเรื่อง "อิมามะฮฺ" ของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺ
ทั้งๆที่หากเราพิจารณาถึงเนื้อแท้ของความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺที่ถูก "ซ่อนเร้น" ไม่เปิดเผยจากอุลามาอ์ฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺแล้ว ผมเองก็มั่นใจหลือเกินว่าคงไม่มีใครที่คิดจะอ้อมแขนรับความเชื่อเรื่อง "ผู้นำที่ถูกแต่งตั้ง" จากนบีตามจินตนาการของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺเป็นแน่แท้
อุปมาเรื่องผู้นำหลังจากนบีโดยมีฉากอยู่ที่ฆอดีรคุมซึ่งฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺพยายามจะนำเสนอ ก็อุปมัยดังเรื่อง ความเมตตาของพระเยซูที่สละชีพเพื่อล้างบาปแก่ชาวโลกซึ่งฝ่ายคริสเตียนพยายามจะโน้มน้าวแก่ผู้คนในการเผยแพร่เสมอๆ
กล่าวคือ หากเราได้เคยมีโอกาศรับฟังเหตุผลและการนำเสนอถึงความเมตตาและสถานภาพของพระเยซูที่ยอมสละชีพเพื่อไถ่บาปชาวโลกแล้ว เราก็มักหลงไหลได้ปลื้มไปกับความยิ่งใหญ่ในตัวของพระเยซูซึ่งมากมายเหลือเกินที่มันสามารถเปลี่ยนคนต่างศาสนิกอื่นๆที่มิใช่มุสลิมให้รับศาสนาคริสต์ได้แต่ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนมุสลิม
ซึ่งการที่มุสลิมไม่ยอมเปลี่ยนตัวเองไปรับนับถือศาสนาคริสต์นั้นหาใช่เกิดจากการไม่ศรัทธาต่อพระเยซูหรือนบีอีซา(อลัยฮิสสลาม)แต่อย่างใดไม่ แต่เกิดจากการที่มุสลิมรู้ดีถึงแก่นแท้ในหลักความเชื่อเรื่อง "ตรีเอกานุภาพ" ที่ฝ่ายคริสเตียนได้หยิบยกพระเยซูเป็นภาคหนึ่งของพระเจ้าไป
ดังนั้นต่อให้เหตุผลเบื้องหน้าในเรื่องของพระเยซูจะดีเลิศน่ารับฟังเต็มไปด้วยเหตุผลหลักฐานมากเพียงใด มุสลิมก็ไม่ "ฉาบฉวย" พอที่จะน้อมรับอากีดะฮฺคริสเตียนอย่างขาดวิจารณญาณนอกจากคนที่ไม่ใช่มุสลิมซึ่งไม่มีพื้นฐานเรื่อง "เตาฮีด" เท่านั้นที่จะน้อมรับเรื่องดังกล่าวได้
และเช่นกัน การที่ชาวซุนนะฮฺไม่ยอมน้อมรับหลักความเชื่อเรื่องอิมามะฮฺของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺนั้นหาได้เกิดจากการที่ฝ่ายซุนนะฮฺเกลียดชังในลูกหลานนบี,ปฏิเสธเหตุการณ์ที่ฆอดีรคุม,ปฏิเสธหะดิษษะกอลัยนฺ(สิ่งหนักสองสิ่ง)และอื่นๆแต่อย่างใดไม่
แต่การที่นักปราชญ์ผู้ทรงภูมิธรรมของฝ่ายซุนนะฮฺได้ปฏิเสธเรื่องดังกล่าวไปนั้นก็สืบเนื่องจาก "หลักความเชื่อที่เลยเถิด" ของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺที่มีต่อบรรดาอิมามที่พวกเขาเชื่อว่าเป็นผู้นำหลักจากนบีตลอดจนความเข้าใจถึงข้อเท็จจริงของหะดิษต่างๆที่ฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺนิยมแอบอ้างหยิบยกมานำเสนออย่างฉาบฉวยต่างหาก
ไม่ว่าจะ หะดิษฆอดีรคุมและหะดิษ 12 คอลีฟะฮฺก็ดี
ดังนั้นสภาพของคนบางกลุ่มที่ตัดสินความเป็นสัจธรรมระหว่าง อะฮฺลุซซุนนะฮฺฯกับรอฟิเฎาะฮฺ เพียงแค่เหตุการณ์ที่ฆอดีรคุมหรือเรื่องผู้นำหลังจากนบี ก็ไม่ต่างอะไรกับคนต่างศาสนิกบางกลุ่มที่ตัดสินว่า "ศาสนาคริสต์คือสัจธรรม" เพียงแค่จากเรื่องราวของการสละชีพเพื่อปกป้องมวลมนุษยชาติของพระเยซูและความเมตตาอันสูงส่งของท่านนั่นเอง
จะต่างกันก็ตรงที่ว่าการที่มุสลิมส่วนใหญ่ไม่ได้น้อมรับหลักความเชื่อเรื่องพระเยซูมิใช่ว่าไม่ศรัทธาต่อนบีอีซา
แต่เกิดจากเหตุผลที่ว่าคริสเตียนเชื่อในพระเยซูอย่างไม่ถูกต้องโดยยกท่านเป็นพระเจ้า แต่สำหรับการที่มี "มุสลิมบางจำพวก" ได้หันหน้าเข้ารีตสู่ลัทธิรอฟิเฎาะฮฺชีอะฮฺ ก็สืบเนื่องจากว่า "ความไม่เดียงสา" ต่อเนื้อแท้ของหลักความเชื่อในเรื่องอิมามะฮฺของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺที่ได้เลยเถิดหยิบยกมนุษย์เป็นพระเจ้า แต่แนบเนียนกว่าตรงที่ "ปกปิด" ไม่ยอมนำเสนอแก่คนเอาวาม เพราะกลัวว่าคนจะไม่รับแนวทางชีอะฮฺหากรู้ความจริงดังกล่าวนี้!!!
ดังนั้นก็เลยนำเสนอเรื่องราวเพียงแค่ว่า
ท่านนบีแต่งตั้งท่านอะลีเป็นอิมามจริงไหม?
หรือท่าน 3 คอลีฟะฮฺแรกของอิสลามขึ้นดำรงตำแหน่งอย่างชอบธรรมหรือไม่?
ซึ่งเป็นเรื่องที่ฉาบฉวยในการหาข้อสรุปเป็นอย่างยิ่ง
1. แก่นแท้ของหลักความเชื่อเรื่อง "อิมาม" หรือผู้นำหลังจากท่านนบีของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺ
ถึงจุดนี้ข้าพเจ้าจะขอนำเสนอถึงแก่นแท้ของความเชื่อของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺที่มีต่อผู้นำหลังจากนบี โดยจะขอหยิบยกคำบรรยายของปราชญ์ชั้นสูงของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺมานำเสนอกัน ซึ่งจะพิสูจน์ให้เห็นว่าโดยแก่นแท้แล้ว ผู้นำหลังจากท่านนบีในหลักความเชื่อของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺนั้นไม่แตกต่างอะไรกับพระเจ้าหรือหลักความเชื่อในแบบคริสเตียนที่ได้หยิบยกมนุษย์เป็นพระเจ้านั่นเอง!!!
อัลลามะฮฺ อัลฟากีฮฺ ซัยยิดมุฮัมมัด ริฏอ อัชชัยรอศีย์
ปราชญ์ผู้โด่งดังของรอฟิเฎาะฮฺรายนี้มาจากประเทศอิรัคซึ่งเขาได้บรรยายถึงแก่นแท้ในหลักความเชื่อที่แท้จริงของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺที่มีต่อบรรดา "มนุษย์ทั้ง 12 คน" ที่พวกเขาเชื่อว่านบีได้เลือกสรรให้เป็นผู้นำของอุมมะฮฺอิสลามหลังจากท่านไว้ว่า
"เมื่อใดที่เราได้เรียกหา,ได้สวดอ้อนวอนและขอความจำเริญในปัจจัยยังชีพและความต้องการทางด้านสังคมจากบรรดาอิมาม พึงรู้ไว้เถิดว่าท่านกำลังขอจากบรรดาอิมามผู้ซึ่งทรงอำนาจในการควบคุมดูแลบริหารสากลจักรวาลและทุกๆสิ่ง(บนโลกนี้) และเมื่อใดก็ตามที่บรรดาอิมามได้กล่าวแก่บางสิ่งว่า "จงเป็น"มันก็ "เป็น" ตามที่อิมามได้กล่าวไป (กุนฟะยะกูน)"
ข้อความดังกล่าวนี้ ถอดความมาจากคำบรรยายของเจ้าตัวที่
ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถตรวจสอบได้
จากคำบรรยายที่สะท้อนให้เห็นถึงแก่นแท้ของหลักความเชื่ออันแท้จริงในเรื่อง "อิมาม" ของฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺจากนักวิชาการรอฟิเฎาะฮฺรายนี้จึงสามารถสรุปออกมาให้เห็นถึงความขัดแย้งกับอิสลามออกเป็น 3 ประการดังนี้
1. รอฟิเฎาะฮฺสามารถสวดอ้อนวอนขอความจำเริญจากบรรดาอิมามของพวกเขาได้
สิ่งนี้ถือเป็นการกระทำที่สวนทางกับหลักการของอัลอิสลามดังคำดำรัสในอัลกุรอานความว่า
{ إِيَّاكَ نَعْبُدُ وَإِيَّاكَ نَسْتَعِينُ }
เฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์เคารพอิบาดะฮฺ (*1*) และเฉพาะพระองค์เท่านั้นที่พวกข้าพระองค์ขอความช่วยเหลือ (*2*) (อัลฟาติฮะฮฺ:5)
(1) คือมอบการเคารพอิบาดะฮฺทุกประเภท่ให้แก่พระองค์ แต่เพียงองค์เดียวเท่านั้น โดยปราศจากการให้ผู้หนึ่งผู้ใด หรือสิ่งหนึ่งสิ่งใดมีหุ้นส่วนในการอิบาดะฮฺดังกล่าว เป็นต้นว่า การวิงวอนขอความช่วยเหลือ การบน การสาบาน และการเชือด ฯลฯ
(2) ขอความช่วยเหลือในสิ่งที่อยู่นอกเหนือกฏสภาวการณ์ หรือสิ่งที่ไม่อยู่ในความสามารถของมนุษย์ที่จะให้ความช่วยเหลือได้
2. รอฟิเฎาะฮฺเชื่อว่าบรรดาอิมามมีอำนาจในการควบคุมจักรวาลสิ่งนี้เป็นสิ่งที่รับไม่ได้ด้วยประการทั้งปวงและขัดแย้งกับโองการอัลกุรอานความว่า
{ لَّهُ مُلْكُ ٱلسَّمَٰوَٰتِ وَٱلأَرْضِ وَإِلَى ٱللَّهِ تُرْجَعُ ٱلأُمُورُ }
อำนาจอันเด็ดขาดแห่งชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินนั้นเป็นสิทธิ์ของพระองค์ และการงานทั้งหลายถูกให้กลับไปยังอัลลอฮ.เท่านั้น (*1*) (อัลหะดีด:5)
(1) ทุก ๆ สิ่งย่อมกลับไปหาอัลลอฮ. พระผู้สร้างและพระผู้จัดระบบ ทรงตัดสินชี้ขาดตามที่พระองค์ทรงประสงค์ 3. รอฟิเฎาะฮฺอ้างว่าหากอิมามกล่าวสิ่งใดว่า "จงเป็น" มันก็ "เป็น" (กุนฟะยะกูน)ไปตามที่อิมามได้กล่าวไว้สิ่งนี้ถือเป็นการยกบรรดาอิมามให้เสมอเหมือนกับพระองค์อัลลอฮฺอย่างชัดแจ้งเพราะพระองค์ทรงกล่าวว่า
{ بَدِيعُ ٱلسَّمَٰوَٰتِ وَٱلأَرْضِ وَإِذَا قَضَىٰ أَمْراً فَإِنَّمَا يَقُولُ لَهُ كُنْ فَيَكُونُ }
พระองค์ผู้ทรงประดิษฐ์ชั้นฟ้า และแผ่นดิน และเมื่อพระองค์ทรงกำหนดสิ่งใดแล้วพระองค์ก็เพียงแต่ประกาศิตแก่สิ่งนั้นว่า จงเป็นแล้วสิ่งนั้นก็จะเป็นขึ้น-กุนฟะยะกูน- (อัลบะกอเราะฮฺ:117)
สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมดนี้หาใช่การใส่ไคล้อย่างเลื่อนลอยหรือนั่งเทียนเขียนโจมตีฝ่ายรอฟิเฎาะฮฺอย่างที่พวกเขามักจะโฆษณาหลอกผู้คนกัน