วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

ใึึครเป็นใคร?

http://www.dhammathai.org/articles/view.php?No=258
ปี พ.ศ ๒๕๒๗ - ๒๕๔๙ 
เมื่อประเทศไทย ได้ออกคำสั่งที่ ๖๖/๒๕๒๓ สถานการณ์บ้านเมือง เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ประดา ผกค.ทั้งหลาย ได้ยินยอมพร้อมใจวางอาวุธ หันหน้าเข้ามาร่วมพัฒนาชาติไทย โจรปัตตานีที่เคยมีบทบาทร่วมกับ ผกค.ได้แยกตัวออกไป แล้วดำรงสภาพของตนไว้ 

แต่เป็นการดำรงทีฝ่ายรัฐบาลไม่ได้รับรู้ด้วย อีกอย่างหนึ่ง ฝ่ายรัฐบาลไม่เคยมีโจทย์กับตนเองมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ไม่ได้ใส่ใจกับปัญหาของชนเผ่าใหญ่อีกเผ่าหนึ่ง คือคนไทยเชื้อสายมลายู แล้วก็สรุปเอาเองว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหาการเหยียดผิว ไม่มีการแบ่งเชื้อชาติศาสนา แล้วเราก็สรุปเอาเองว่า ประเทศไทยไม่มีปัญหานี้ 

แท้ที่จริง พี่น้องใน ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ถูกปลุกระดมเละตุ้มเป๊ะจนยากที่จะแก้คืน นอกจากยากที่จะแก้คืนดังกล่าวนั้นแล้ว เรายังหมดโอกาสรู้ความจริง มันเนื่องมาจากนักการเมืองไม่ได้ทำหน้าที่เพือความมั่นคงของชาติ ไม่ใส่ใจในปัญหาของชาติอย่างรอบด้าน 

นักการเมืองในท้องถิ่นปิดบังซ่อนเล้นเรื่องราวให้ลึ้ลับอย่างมิดชิด 
หน่วยข่าวกรองชาติ ก็มุ่งประเด็นโจรก่อการร้ายคอมมิวนิสต์จนลืมเรื่องอื่นทั้งหมด 

นักการเมืองของไทย ส่วนใหญ่เป็นผู้นับถือพระพุทธศาสนา เป็นสักแต่พุทธในชื่อ ส่วนความเชื่อ ความรับผิดชอบ ไม่มีเหลืออยู่ในตัวของนักการเมืองเลย 

โจรปัตตานี จึงเป็นฝ่ายรูกทางการเมือง แต่พวกเขาจะไม่แสดงออกให้ปรากฎเห็น ไม่มีการกระทำที่ส่อไปถึงความต้องการว่าจะแบ่งแยกดินแดน แต่ถ้าจะสังเกตุให้ดี เราจะพบเห็นข้อเรียกร้องและการปฎิบัติที่กระทบต่อพระพุทธศาสนา เช่นเรียกร้องไม่ให้สอนวิชาพุทธศาสนาในโรงเรียน ให้ขนย้ายพระพุทธรูปออกไปจากที่ตั้ง ห้ามประกอบพิธีกรรมทางศาสนาพุทธ 

โจปัตตานีรุกทางการเมืองอย่างได้ผล และทวีความเข้มแข็งขึ้นตามลำดับ ใน 
สภาท้องถิ่นและสภาระดับชาติ ได้มีตัวแทนของพี่น้องอิสลามชนะการเลือกตั้งเข้ามาจำนวนไม่น้อย ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในนโยบายปรับปรุงรูปแบบการต่อสู้ของพวกเขาเอง อิทธิพลทางความคิดที่โจรปัตตานีเดินงาน แล้วส่งออกสู่สังคม บังคับโดยอัตโนมัติ ให้นักการเมืองไทยวางตัวเป็นศัตรูกับพุทธศาสนาของตัวเองอย่างไม่รู่ตัว ดังจะเห็นได้จากรัฐธรรมนูญฉบับ พ.ศ. ๒๕๔๐ ที่ถูกคณะปฎิวัติเชือดทิ้งไปแล้วนั้น 
ไม่ยินยอมให้พระพุทธศาสนาเป็นศาสนาประจำชาติ 
---------------------------------------------------------- 

คนพุทธมากกว่า ๒ ล้านคนล่าชื่อส่งสภาก็ไม่มีผลอะไรเลย 

นักการเมืองเพิกเฉย แถมมีการพูดว่า "ถ้าทำอย่างนั้น ระวังเลือดจะท่วมท้องช้าง" ..!! 

นับแต่บัดนั้น สถานการณ์หลายอย่างได้บีบคั้นพระพุทธศาสนาและชาวพุทธรุนแรง แต่ชาวพุทธทั้งปวงก็ยังคงตั้งอยู่ในความสงบ ไม่ได้มีความโกรธแค้นให้อิสลามอะไรทั้งสิ้น 

ด้านอิสลามนั้น เริ่มปรากฎขึ้นในสถาบันการเมืองอย่างโดดเด่น เช่น บางท่านได้เป็นรองนายกรัฐมนตรี บางท่านเป็นรัฐมนตรี และบางท่านได้เป็นประธานสภา และในสภาก็มีนักการเมืองอิสลามอย่างมีหน้ามีตาหลากหลายมากขึ้น 

คนไทยพากันต้อนรับนักการเมืองสายอิสลามด้วยความเต็มใจ 
เพราะจะได้อวดกับชาวโลกได้ว่า ประเทศไทยไม่มีการกีดกันคนศาสนาอื่น 
----------------------------------------------------------------------------------- 
คนไทยพุทธ แอบภูมิใจกับความเจริญก้าวหน้าของพี่น้องอิสลาม ด้วยความรู้สึกจากน้ำใสใจจริง 

คนพุทธไม่เคยออกปากคัดค้านและไม่ขัดขวางไม่ว่ากรณีใด เพราะถือว่าทุกคนเป็นเสมือนหนึ่งลูกพ่อเดียวกัน...เอากันง่ายๆ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ซึ่งเป็นอิสลามขนานแท้ ทำการปฎิวัติรัฐประหาร ก้าวขึ้นมาเป็นผู้กุมอำนาจสูงสุดในประเทศ เมื่อปฏิวัติเสร็จ ได้เปลี่ยนชื่อเป็น "คณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ" หรือ คมช. โดยท่าน พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ทำหน้าที่เป็นประธาน คมช. คนไทยก็พากันต้อนรับทั่วประเทศ 

ประเทศไทยทั้งประเทศน้อมใจรับโดยไม่ได้นึกถึงความแตกต่างทางศาสนา 

แต่ในเวลาเดียวกันที่คนไทยน้อมใจรับ โจรกลับบั่นคอพี่น้องชาวพุทธที่ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกาศฆ่าและขับไล่ใสส่ง "คนพุทธ" สถานเดียว 

ขณะเขียนต้นฉบับให้กับหนังสือเล่มนี้ (๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๙) ผมพักอยู่ 
โรงแรมไดอิชิ หาดใหญ่ พอตื่นขึ้นมาก็ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนที่จังหวัดยะลาว่า โจรป่าพวกนั้น โปรยใบปลิวข่มขู่ไทยพูทธ ประกาศปิดร้าน ถ้าไม่เชื่อ จะเอาให้ร้องไม่ออก 

ผมรับโทรศัพท์ด้วยความตกใจ คิดไม่ถึงว่าตอนที่เข้าไปทำงานที่โรงแยกแก๊สใหม่ๆ ยังไม่ร้ายแรงถึงขนาดนี้...แต่วันนี้มันร้ายเกินกว่าคิดมากมายยิ่งนัก เพื่อนบอกว่า 
โจรปิดเมือง ปิดหมู่บ้าน ตัดการติดต่อกับราชการ ไม่ให้ชาวพุทธขยับเขยื้อนได้ 

ทหาร ตำรวจ และข้าราชการ ยังถูกตรึงอยู่กับที่ แต่พวกโจรปัตตานี และชาวบ้านแนวร่วมทั้งหมดมีอิลรภาพไปไหนมาไหนได้อย่างเสรี ประหนึ่งไม่มีเหตุร้ายเกิดขึ้น 

แต่คนพุทธ กลายเป็นคนต้องห้ามในแผ่นดินของตน คนที่หลบไปพึ่งวัดเกือบจะบ้าอยู่แล้ว 

ผมตระหนักกับตนเองว่า โจรปัตตานีไม่ใชรุกหนักแต่ทางการเมืองเท่านั้น ยังรุกหนักทางอาวุธอย่างเข้มข้นรุนแรงในรอง ๑๐๐ ปี สถานการณ์แบบนี้ จะต้องมีการชี้ขาดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง ในโอกาสข้างหน้าในไม่นาน 

หรือกล่าวให้ชัด เมื่อเหตุการณ์รุนแรงอย่างเป็นระบบมาถึงขั้นนี้ จะให้เรื่องจบลงง่ายๆ เป็นไปใม่ได้เลย โอกาสที่จะแตกหักไปข้างหนึ่ง จะต้องมีขึ้น 

การกระทำครั้งนี้ โจรปัตตานีเขาคงจะมี "หัวหน้าใหญ่" บัญชาการอยู่ไม่ไกลแน่ๆ เชียว 
ไม่เช่นนั้น จะไม่ประสบผลสำเร็จได้ขนาดนี้ 
แต่ฝ่ายรัฐบาล ก็ยังบอกไม่ได้ว่า ใครคือจอมบงการ 

เคยเห็นฝ่ายรักษาความสงบพูดมาหลายครั้ง จะตะครุบหัวหน้าใหญ่ให้ได้ จนแล้วจนรอด ยังไม่ได้แม้แต่กลิ่น...มันช่างลึกลับอำมืดอย่างไม่น่าเชื่อ ? 

ผมตรวจดูระยะเวลาตั้งแต่ปี ๒๕๒๗ ถึง ๒๕๔๙ รวม ๒๒ ปี เป็นช่วงที่ โจรปัตตานีได้พัฒนารูปแบบการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม ดีกว่าทุกยุค จึงเป็นการยากที่รัฐบาลจะแก้ปัญหานี้ให้สงบเงียบลงได้โดยง่าย และเดาไม่ถูกว่าจะบานปลายร้ายแรงถึงขั้นเป็นสงครามหรือไม่ จาก 
http://www.hi-thaksin.org/forum.php?ParamID=29891

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม