วันศุกร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2554

ป่าเถื่อนVSป่าเถื่อน


Ugly American VS Ugly Extreme Muslim
 

What's about Thailand ?!?

มุสลิมหัวรุนแรงกับสายเหยี่ยวในอำนาจรัฐไทย ป่าเถื่อน VS ป่าเถื่อน ก็แล้วชาวบ้านๆ อย่างเราจะทำอย่างไร
สถานการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของประเทศไทยที่ประทุต่อเนื่องมาเป็นเวลากว่า ๒ ปี จนบัดนี้ นั้น ในช่วงแรกผู้คนในประเทศไทยทั้งประเทศ นับแต่ผู้คนระดับประเทศไปจนถึงประชาชนรากหญ้าต่าง "เป็นงง" ว่า ใครเป็น "ผู้ก่อการ" และเกิดสมมติฐานการคาดเดากันไปต่างๆ นาๆ ท่ามกลางรอยเลือดคราบน้ำตาและ "กองกระดูก" ของ ประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐทั้งเด็กผู้ใหญ่ผู้หญิงผู้ชายคนแก่วัยรุ่นวัยหนุ่มสาววัยฉกรรจ์วัยเรียนวัยทำงาน ทั้งไทยพุทธและไทยมลายูมุสลิมในพื้นที่
ทว่าหลังการสังหาร ๒ นาวิกโยธินไทย โดย "ฝีมือ/ฝีเท้า" ใน "วงล้อม" ของ "ผู้ก่อการ" ในคราบ "ชาวบ้าน" ที่หมู่บ้านตันหยงลิมอร์ จังหวัดนราธิวาส  ก็ได้เปลี่ยนสถานการณ์ให้ "ประชาชนทั่วไปในประเทศ" สามารถทำความเข้าใจกับสภาพการณ์ของปัญหาใน "บริบท" ของ สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เกิดขึ้นและดำเนินมาได้ชัดเจนขึ้นในทางความคิด แม้ในทางปฏิบัติจะยังไม่สามารถสาวถึง "ผู้ก่อการระดับผู้บงการหรือระบุตัวกลุ่ม   "ผู้ก่อการระดับผู้ปฎิบัติการ" อย่างตรงตัวกันจะๆ  แบบ  "คาหนังคาเขา" ก็ตามที     แต่ก็.. เชื่อว่า หากทุกฝ่ายทั้งภาครัฐและภาคประชาชน ผนึกกำลังกันทั้งในทางความคิดและในทางปฏิบัติให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ประเทศไทยจะสามารถร่วมกันฟันฝ่าอุปสรรคลุยดับ"ไฟใต้" /"ลุยดับ" เด้อ, บ่แม่น "ลุยดะ"/ ที่กำลังลุกโชนอยู่ที่ปลายด้ามขวานไทยในยุคนี้ไปได้ แม้ไม่ได้โดยง่ายแต่ก็ไม่น่าจะยากจนเหลือบ่ากว่าแรงของ "คุณประเทศไทย" ที่มีอายุยืนนานผ่านร้อนผ่านหนาวทุกรูปแบบมาเป็นเวลากว่าครึ่งค่อนพันปี
เพียงแต่ "คนของประเทศไทย" ทุกฝ่ายจะต้องทำความเข้าใจ มี คำถาม และ มี คำตอบ ให้แก่"ตัวเอง" และ "ประชาคม"  ใน "สังคมประเทศไทย" ทั้งประเทศ โดยอาจจะต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับ สภาพการณ์ของความขัดแย้งในบริบทของประเทศไทยในฐานะที่เป็นประเทศหนึ่งในประชาคมโลก เป็นพื้นฐานกันก่อน ซึ่งเท่าที่บทความนี้ ติดตามสถานการณ์ "ไฟใต้" ที่เปิดฉากมาด้วย "การปล้นปืน" จากค่ายทหาร ที่ดังระเบิดเทิดเทิงแบบหยามศักดิ์ศรีสมรรถนะของ "กองทัพไทย" เสียจนหน้าแหกแหลกลาญ ตามมาด้วย เหตุการณ์นองเลือดกรือแซะตากใบ การปลิดชีพทหารไทย ๒ นาย ด้วยการปล่อยข่าวลือเรื่องนินจา
โดยมีการฆ่าไม่เลือกรายวันแบบท้าทายและหยามน้ำหน้า "อำนาจรัฐไทย" /ซะไม่มี/ ตั้งแต่การรอบยิง ประชิดตัวจ่อยิง กราดยิง ปาดคอฆ่าตัดหัว วางระเบิด ฯลฯ  เป็นหนังม้วนเดียวที่ฉายซ้ำซากต่อเนื่อง ซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่รู้จักหยุดจักหย่อนเป็นพื้นหลัง โดยมีแก่นของเรื่องอยู่ที่ว่า "คนมุสลิมที่พูดภาษามลายูถูกอำนาจรัฐไทยกลั่นแกล้งรังแก" ทั้งการถีบลงเขาเผาลงถังแดงกระทั่งการถ่วงทิ้งทะเลสาบสงขลาในอดีตจนมาถึงการอุ้มฆ่าในปัจจุบัน ตามสถานการณ์ที่ค่อยๆ คลี่คลายขยายตัวและค่อยๆ เปิดเผย "ปัจจัย" อันเป็นเหตุของเหตุการณ์นั้นๆ ก็จะเห็นความพยายามของ"ผู้ก่อการระดับผู้บงการว่า ในช่วงแรกมีความพยายามจะให้เหตุการณ์บานปลายกลายเป็น"สงครามศาสนา" ระหว่าง "คนไทยพุทธ" กับ"คนไทยมุสลิม" ึ่ง "ผู้ก่อการระดับผู้บงการ" จะสามารถระดมความช่วยเหลือจากมุสลิมทั่วโลกได้ โดยพยายามขยายผลกรณีกรือแซะ ตากใบ ให้ขึ้นสู่ระดับสากล และ พยายามโยงปัญหาสั่งสมอื่นๆ ทางสังคมเศรษฐกิจการเมืองการศึกษาที่ถูกทอดทิ้งมาแต่ครั้งรัฐบาลก่อนๆๆๆและก่อนๆๆ โดยพุ่งตรงไปที่ความแตกต่างทางวัฒนธรรม ศาสนาและภาษาพูด โดย "ชู" เรื่องราวความเป็นมาที่ "รุกรานรบราฆ่าฟันแย่งชิงกันมาแต่ครั้งประวัติศาสตร์ยุค "พระเจ้าเหา" ให้เป็นปมยุ่งเหยิง ที่รัฐบาลปัจจุบันไม่อาจและไม่สามารถจะ "รับผิดชอบ" และ "แก้ได้" ในระยะสั้น แต่เป็นเรื่องที่ "ผู้ก่อการระดับผู้บงการ" ระดับต่างๆ /ตั้งแต่ระดับ"เซลล์" ในหมู่บ้าน ไปจนถึงแนวร่วมระดับชาติและระดับสากล / สามารถจะนำมาขยายผล ชูเป็นประเด็นขึ้นมาเปิดยุทธการข่าวลือข่าวปล่อย ลดความน่าเชื่อถือของ "รัฐบาล/เจ้าหน้าที่รัฐ" ได้ตลอดอย่างต่อเนื่อง จนสวมรอยและปลุกระดมชาวบ้านให้ลงมือ "รุมสกรัมฆ่า" เจ้าหน้าที่ได้อย่างทารุณ ไม่ว่าจะเป็นกรณีโจรนินจาหรือกรณี ๒ นาวิกโยธินที่ตันหยงมอร์นราธิวาส โดยที่ รัฐ/รัฐบาล-เจ้าหน้าที่-คนไทยทั้งประเทศ ได้แต่พากันนั่งดูตาปริบๆ ทำอะไรไม่ได้นอกจากจะฟึดฟัดฟาดงวงฟาดงากัน ก่นด่าแช่งชักหักกระดูกสาปส่ง "ผู้ก่อการ" กันตามเวบบอร์ดในโลกอินเตอร์เนทและตามสื่อต่างๆ กับการต้อง "ทำใจ" /ข่มใจ /มีขันติ/จะตอบโต้อะไรแม้กระทั่ง "คำพูด" ยังไมได้ เดี๋ยวจะ "ก่อความแตกแยก" เข้าทาง "ผู้ก่อการ" จึงได้แต่นั่งดู พวก "ผู้ก่อการระดับปฏิบัติการ" /ซึ่งส่วนมากพูดภาษามลายู?/ มันสอยเจ้าหน้าที่และปลิดชีวิตประชาชน "คนของประเทศไทย" ร่วงแล้วร่วงอีกร่วงลงไปเรื่อยๆ จนบัดนี้ก็ยังไม่มีทีท่าว่าหยุด
อย่างไรก็ดี จากการที่สถานการณ์ค่อยๆ คลี่คลายขยายตัวไปเรื่อยๆ สถานการณ์ก็ค่อยๆ เผยให้เห็น "ปัจจัย" อันเป็นเหตุของเหตุการณ์ซึ่งยังให้ภาพของ"ผู้ก่อการระดับผู้บงการที่มืดมิดอยู่ในเงามืดค่อยชัดเจนให้เห็นเป็นเลาๆ ขึ้นเป็นลำดับ จนอาจจะอนุมาน ได้ว่า ในที่สุด "ผู้ก่อการระดับผู้บงการ"น่าจะเป็นใคร?! ไปได้? โดยดูจาก....๑/ "ผู้ก่อการระดับผู้ปฎิบัติการ"/ผู้ลงมือกระทำงานรูปธรรม /โดยเฉพาะในเหตุการณ์สำคัญๆ อย่างกรือแซะตากใบ กรณีโจรนินจา และ ล่าสุดคือ กรณี ๒ นาวิกโยธินที่ตันหยงลิมอร์/ ที่มักจะมี "หัวโจก" เป็น "ไอ้โม่ง" อยู่จำนวนหนึ่ง แทรกและหลบอยู่ในฝูงชนคอยชักใยชักนำให้สถานการณ์เข้าไปสู้ "ความรุนแรง" องค์ประกอบของฝูงชน ณ ที่เกิดเหตุ ซึ่งจากปากคำของชาวบ้านตันหยงลิมอร์ ที่ปรากฏเป็นข่าว บอกว่า มีคนมาจากนอกหมู่บ้าน มาจากที่อื่นด้วย ที่บางกลุ่มเขาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นใครมาจากไหน จึงมีทั้งคนในพื้นที่หมู่บ้านละแวกที่เกิดเหตุและที่มาจากที่อื่นหมู่บ้านอื่นหรือกระทั่งจะมาจากนอกประเทศ ๒/ แนวโน้มว่าผลประโยชน์สูงสุดหาก "คุณประเทศไทย" ภายใต้การนำของ คุณทักษิณ เป็นฝ่ายพ่าย จะไปตกอยู่ที่ ใคร/กลุ่มไหน?   ตอนต้นๆ ของไฟใต้ยังไม่มีการพุ่งประเด็นไปที่การมีเป้าหมายของการจะ "แบ่งแยกดินแดน"     เพียงแต่ประเมินกันว่า เป้าหมายของ "ผู้ก่อการ" จะอยู่ที่ การลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล  เพื่อโค่นคุณทักษิณ เพื่อการเปลี่ยนแปลงขั้วของรัฐบาล ซึ่งยังคงเป็นการประเมินสถานการณ์ ในกรอบของเรื่องการแย่งชิงผลประโยชน์ภายในชนชั้นปกครองไทยด้วยกันเอง ด้วยเพราะนโยบายของรัฐบาลนี้ ตัด "แหล่งทำกิน" ของชนชั้นปกครองที่เคยยึดกุมอำนาจรัฐกลุ่มเก่าๆ /ที่มีผลประโยชน์อิงแอบอยู่กับ "เจ้าพ่อ"/"เจ้าแม่" อิทธิพลท้องถิ่น แต่นโยบายของคุณทักษิณกวาดล้างอิทธิพลท้องถิ่น แต่จะส่งอิทธิพลจาก "ส่วนกลาง" ไปครอบแบบ "ธุรกิจขายตรง" ตรงๆ โดยเฉพาะพื้นที่ ๓ จังหวัดชายแดนพื้นที่ "เจ้าปัญหา" นี้ เต็มไปด้วย อิทธิพลท้องถิ่น/ทั้งการค้าของเถื่อน-ของหนีภาษี-น้ำมันเถื่อน-ค้ายา-ค้าประเวณี/ แต่เมื่อสถานการณ์ขยายตัวไป จึงเผยให้เห็น "ตัวตน" ที่แท้จริงของสถานการณ์ ว่า มีความพยายามจะยกระดับสถานการณ์ขึ้นสู่ระดับสากล โดยมี การชี้นำและแทรกแซง มาจาก ภายนอกประเทศ และมี การขานรับประสานเสียงสนับสนุน จากภายในประเทศ ให้เห็น ทิศทางของสถานการณ์ ที่จะนำพาไปสู่การ"แบ่งแยกดินแดน" ! แสดงให้เห็นว่า อุดมการณ์เพื่อ "การแบ่งแยกดินแดน" ยังซ่อนตัวสืบทอดฝังลึกอยู่ในดินแดนปลายด้ามขวานบิ่นๆ รอวันประทุ ยู่ทุกขณะถ้ามี "เงื่อนไข" เหมาะๆ จึงประเมินได้ว่า ผลประโยชน์สูงสุดหาก "คุณประเทศไทย" เป็นฝ่ายพ่าย จะไปตกอยู่ที่ ใคร? จะใช่ กลุ่มชนชั้นปกครองเชื้อสาย อาณาจักรที่ล่มสลายไปกว่าร้อยปีมาแล้ว หรือไม่? ก็ต้องพิจารณาจาก ปมประวัติศาสตร์ ความเป็นมาเป็นอยู่และเป็นไปของ "คุณประเทศไทย" ในหัวข้อต่อไป และ ๓/พิจารณาจากปมประวัติศาสตร์ ความเป็นมาและความเป็นไปของ "คุณประเทศไทย" ตั้งแต่ "ยุคพระเจ้าเหา" ในอดีตกาลจนมาจนถึงยุคทักษิณทักษิโณมิกในปัจจุบัน ด้วย "เฉพาะ" ดินแดนปลายด้ามขวานนั้น ยังคงมี เชื้อสาย ของ กลุ่มชนชั้นปกครองแห่ง อาณาจักรที่ล่มสลายไปกว่าร้อยปีมาแล้วดำรงอยู่ โดยยังคงมีการถ่ายทอดส่งต่อส่งผ่าน "อุดมการณ์"  / คือ ต้องเข้าใจว่า "อุดมการณ์" เป็นอะไรที่ รุนแรงทางความคิด-ทางการปฏิบัติ ที่มี ความมุ่งมั่น มุ่งหวัง มุ่งผลสัมฤทธิ์ ในทางปฏิบัติ (commitment) ในระดับสูง โดยเฉพาะในกรณีนี้ ก็คือ สูงถึงระดับยอมตายถวายวิญญาณ / อย่างต่อเนื่อง ไว้เป็นตัวหนังสือเป็นคัมภีร์คำสอนทางศาสนา /เห็นว่าแต่งไว้หลายเล่ม/ แล้วส่งต่อถ่ายทอดโดยอาศัยกลไกเพื่อการสอนศาสนา ที่เรียกว่า "ปอเนาะ" ซึ่งได้สร้างและก่อตั้งวางรากฐานไว้อย่างแน่นหนา !สำหรับการปลูกฝัง(หัว) ยุวชนเยาวชนไทยมุสลิมที่พูดภาษามลายูรุ่นต่อรุ่น จนตกผลึกลุกขึ้นมา "พลีชีพ/ฆ่าคน" เพื่อฟื้นฟู อาณาจักรที่ล่มสลายไปกว่าร้อยปีมาแล้ว เพื่อการ "แบ่งแยกดินแดน"ในวันนี้!(?) ใน ยุคของทักษิณทักษิโนมิก จึงประเมินว่า ถ้าไม่มีการแทรกแซงเพื่อยุติสถานการณ์ "ไฟใต้" ให้ได้อย่างเบ็ดเสร็จในระยะเวลาอันใกล้ โดยปล่อยให้ยืดเยื้อไปเรื่อยๆ จุดจบของ "ไฟใต้" ก็คือ "แบ่งแยกดินแดน"
[ทั้งนี้สามารถจะวิเคราะห์คาดคะเนต่อได้อีก ว่า หาก "ไฟใต้" ทำให้อุดมการณ์แบ่งแยกดินแดนของ"ประชากรที่พูดภาษามลายู" บรรลุผลสัมฤทธิ์ ก็คาดการณ์ต่อไปได้ว่าพื้นที่ต่อไป ก็อาจจะคือ พื้นที่ของ"ประชากรที่พูดภาษาเขมร" /มีข่าวลือว่า มุสลิมเขมรร่วมสังฆกรรมอยู่ในสถานการณ์การฆ่าทารณเพื่อข่มขวัญ "คนไทย" ทั้งประเทศในครั้งนี้ด้วย(?) / ฯลฯ "คุณประเทศไทย" ก็จะแตกจะแยกออกเป็นเสี่ยงๆ แยกย่อยออกเป็นประเทศเล็กประเทศน้อย ซึ่งง่ายต่อการแผ่ "อิทธิพล" ทุกชนิด ทั้งอิทธิพลดีและอิทธิพลชั่ว]
ถามว่า กรณีสาม-ห้าจังหวัดภาคใต้ของไทยนี้ แยกไปแล้วประชาชนคนในพื้นที่จะมี "คุณภาพชีวิต" ดีขึ้นหรือไม่? ประชาชนในพื้นที่จะมีความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้นหรือไม่? ตอบว่า ไม่ทั้งนี้โดยดูจาก ๑. วิธีการและกระบวนการที่ฆ่าไม่เลือกบนพื้นฐานการบิดเบือนทางศาสนา ๒. องค์ประกอบของประชาชนในพื้นที่-เต็มไปด้วยพวกอิทธิพลท้องถิ่นมืด /ค้าของเถื่อน/ค้ายา/ค้าประเวณี-ฯลฯ/ ๓. การฆ่ามีความรุนแรง/เหี้ยมโหดผิดมนุษมนาและถี่ขึ้นเรื่อยๆ แสดงถึงอิทธิพลของการก่อการร้ายข้ามชาติแบบตาลีบัน ๔.จากการสนับสนุนและได้ "หลังพิง" จากรัฐฝ่ายค้าน/รวมทั้งโดยพรรคฝ่ายค้านของประเทศเพื่อนบ้าน ก็สามารถคาดการณ์ได้ว่า หากแบ่งแยกดินแดนออกไปได้ การปกครองจะมีแนวโน้มเป็น "รัฐอิสลาม"/ แบบทาลีบัน ดังนั้นประชาชนในพื้นที่จะไม่ได้อะไรเลย นอกจากกลุ่มชนชั้นปกครองที่กดขี่กว่าเก่าโหดร้ายกว่าเก่า และประชาชนคนในพื้นที่เองจะถูกกดขี่ข่มเหงและถูกปิดหูปิดตาอย่างหนัก (เช่น ทาลีบันในอัฟกานิสถานห้ามผู้หญิงเรียนหนังสือ ทำลายล้างรูปเคารพและฆ่าล้างเผ่าพันธุ์คนศาสนาอื่น ฯลฯ) [รวมทั้งถือเป็นภัยคุกคามทุกประเทศในภูมิภาคแถบนี้เพราะ "รัฐอิสลาม" ที่เกิดใหม่นี้(ถ้าได้เกิดนะ!) จะเป็นฐานการส่งออก "การก่อการร้าย" เข้าไปในพื้นที่ประเทศไทย (ที่เหลือ!?/โดยอาศัยชุมชนมุสลิมที่กระจายอยู่ทั่วประเทศเป็น "เซลล์" อีกนั่นแหละ!) เพื่อสู้กับอิทธิพลอเมริกาที่ดำรงอยู่ก่อนแล้ว รวมทั้งประเทศอื่นๆ แม้แต่มาเลเซียเองก็เถอะ เตรียมรองรับการแยกตัวของ "รัฐกะลันตัน" ตลอดจนรัฐอื่นๆ ที่ใกล้ชิด รัฐกะลันตันไว้ได้เลย และจะเป็น "ภัยคุกคามอย่างยิ่ง" ต่อ "ผู้คน" ในประเทศไทยและประเทศในภูมิภาคแถบนี้อย่างยิ่งยวด] ประเทศไทยจึงมีความชอบธรรมที่จะต้องรักษาดินแดนและรวมทั้งรักษาและคุ้มครองประชากรในพื้นที่เอาไว้ ไม่ว่าจะเป็นประชากรที่มีเชื้อชาติใดและนับถือศาสนาอะไร
ถามว่า  ทำไม การ "แบ่งแยกดินแดน" เพื่อฟื้นฟู อาณาจักรที่ล่มสลายไปกว่าร้อยปีมาแล้ว จึงประทุขึ้น ในวันนี้! ใน ยุคของทักษิณทักษิโนมิก  ตอบว่า เพราะมีเงื่อนไขที่สุกงอมด้วยประการทั้งปวงทั้งปัจจัยภายใน และ ปัจจัยภายนอก แต่ ปัจจัยที่ชี้ขาด ที่ทำให้สถานการณ์ปะทุและยืดเยื้อ คือปัจจัยภายนอก /หมายถึงปัจจัยชี้ขาดที่ทำให้เกิดสถานการณ์ลุกเป็นไฟในภาคใต้ด้วยปฏิบัติการที่ หวังผลเพียงประการเดียว คือ "ความน่าสะพรึงกลัว"อันเป็นลักษณะ "อัตตะลักษณ์" ของ "มุสลิมหัวรุนแรง" โดยจะเข้าใจ สถานการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจสถานการณ์ทางสากล/สถานการณ์โลก เป็นอันดับแรก เข้าใจสถานการณ์ภูมิภาคเป็นอันดับต่อมา แล้วก็ต้องเข้าใจสถานการณ์และพฤติกรรมของประเทศเพื่อนบ้านอีกด้วย จึงจะเข้าใจสถานการณ์ของประเทศได้อย่างถ่องแท้ สถานการณ์ทั่วทั้งโลก มีผลต่อ สถานการณ์ในภูมิภาค และ สถานการณ์ในภูมิภาค มีผลต่อ สถานการณ์ภายในของแต่ละประเทศในภูมิภาค  และ ประเทศที่มีชายแดนติดต่อกัน พฤติกรรมที่เป็นคุณหรือเป็นโทษของประเทศหนึ่ง จะส่งผลกับสถานการณ์ภายในของอีกประเทศหนึ่งโดยตรง และ บทความนี้ก็ขอฟันธงว่า ต่อกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พฤติกรรมของประเทศเพื่อนบ้าน เป็น "ปัจจัยภายนอกที่ยังเป็นโทษ และอยู่ในฐานะเป็นฝ่ายกระทำต่อประเทศไทย" ในขณะนี้/ตุลาคม 2548/ โดยผนึกกำลังกับ "ปัจจัยภายในประเทศที่ไม่เป็นคุณ" 
ทั้งนี้ การบริหารจัดการประเทศของรัฐบาลทักษิณ เป็น "ปัจจัยภายในประเทศที่ไม่เป็นคุณ"ด้วยเพราะ  เป็นการบริหารจัดการประเทศ แบบรวบอำนาจทุกอำนาจมาไว้ในมือ และร่ำรวยอยู่กลุ่มเดียวพวกเดียว ด้วยการเอื้อให้เครือข่ายธุรกิจส่วนตัวของตัวเองและบรรดารัฐมนตรีและผู้นำในพรรคไทยรักไทย กลืนกินทรัพย์สมบัติของประเทศอย่างตะกละตะกราม  และอย่าง "ถูกกฎหมาย" ผ่านทางการ "ซื้อขายหุ้น" ในตลาดหลักทรัพย์ โดยเฉพาะกิจการสาธารณูปโภคผูกขาด หรือกึ่งผูกขาดของรัฐโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก.ฟ.ผ. ทั้งยังใช้ทุกกลยุทธทางการตลาดทางการบริหารจัดการโภคทรัพย์ของประเทศ ตัดทางทำมาหากินของกลุ่มอื่นอย่างเกือบจะสิ้นเชิง และกล่าวเฉพาะนโยบายต่อพื้นที่ภาคใต้หลังสุดหลังจากการทำให้ราคายางพาราสูงขึ้น /อย่างที่ไม่เคยมีรัฐบาลไหนจะทำได้ถึง "ขนาด" นี้มาก่อน/ ที่จะพัฒนาเศรษฐกิจภาคใต้ด้วยการขุดคอคอดกระ สร้างอุตสาหกรรมอาหารอิสลามส่งออก สร้างธนาคารอิสลาม ฯลฯ ซึ่งจะขัดผลประโยชน์ของประเทศเพื่อนบ้านโดยตรง รวมทั้งการปราบปรามอิทธิพลท้องถิ่น/พวกค้ายา ของหนีภาษี/ก็ก่อให้เกิด "ผู้เสียผลประโยชน์ในพื้นที่"  จำนวนมาก จึงเป็นมูลเหตุทำให้ผู้เสียผลประโยชน์ในพื้นที่ และ ประเทศเพื่อนบ้าน ที่จะเสียผลประโยชน์มหาศาลในอนาคต หากรัฐบาลทักษิณพัฒนาภาคใต้ของไทยได้สำเร็จ /ทั้งการจะขุดคอคอดกระ สร้างอุตสาหกรรมส่งออกอาหารอิสลาม ตั้งธนาคารอิสลาม/ การร่วมมือกันปลุกกระแสความแตกต่างทางศาสนา ก่อสถานการณ์ทางเชื้อชาติ ประวัติศาสตร์วัฒนธรรม จึงเกิดขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียง อาจจะต่างคนต่างทำต่างคนต่างสวมรอยก่อการในช่วงต้นๆ แต่เมื่อสถานการณ์บานปลาย ก็เป็นโอกาสของ พวกแบ่งแยกดินแดนตัวจริง เสียงจริง ที่สั่งสมแกนนำปลูกฝังความคิดสร้าง "เซลล์"    ในหมู่บ้านกันมานานแล้ว และอาจจะอยู่เบื้องหลังมาตั้งแต่ต้นแต่ไม่แสดงตัว แต่เมื่อฝ่ายรัฐบาลเพลี่ยงพล้ำมากขึ้น จึงเริ่มประกาศตัวโจ่งแจ้งขึ้นเรื่อยๆ
นอกจากประเด็น "ผู้เสียประโยชน์" ทางเศรษฐกิจดังกล่าวแล้ว ก็ยังมีปัจจัยภายใน ประเด็นที่ประเทศไทยเคยมีกรณี ๑๔ ตุลา ๒๕๑๖ กับ ๖ ตุลา ปี ๒๕๑๙ และชัยชนะที่ทำให้พรรคคอมมิวนิสต์ยอมวางอาวุธได้ในช่วงปี ๒๕๒๓ ด้วยนโยบาย "การเมืองนำการทหาร" โดย มีการเอาสถานการณ์ไปเทียบเคียงกันเพื่อสร้างความ "ชอบธรรม" ให้กับ การก่อการ/การกระทำ ของ "ผู้ก่อการ" ในพื้นที่ว่า เหมือนกัน แต่บทความนี้ จะชี้ให้เห็นว่า มันเป็นสถานการณ์ที่แตกต่างกันโดยพื้นฐานทั้งทางด้านอุดมการณ์และทางด้านวิธีการ ดังนี้
๑. ทาง ด้านอุดมการณ์ ๑๔ ตุลา/๖ ตุลา เป็นการต่อสู้ เพื่ออุดมการณ์ประชาธิปไตย และอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ เป็น อุดมการณ์ทางการเมืองล้วนๆ ที่มียุทธศาสตร์ซึ่งให้ความสำคัญกับชีวิตของประชาชนไม่เข่นฆ่าประชาชน แม้จะเป็นประชาชนของฝ่ายตรงข้าม แต่สถานการณ์ที่ภาคใต้ ณ ขณะนี้ เป็นอุดมการณ์ศาสนาเพื่อผลประโยชน์ของชนชั้นปกครองซึ่งถืออิสลาม ที่สิ้นสูญอำนาจไปแล้วเป็นร้อยปี /โดยยังไม่นับผลประโยชน์แฝงเร้นของประเทศเพื่อนบ้านที่มีคิดแดนติดกัน/ และมียุทธศาสตร์อยู่ที่การเข่นฆ่าล่าสังหารทำลายล้างชีวิตประชาชน เพื่อสร้างความหวาดกลัวหวาดระแวงเป็นหลัก แม้แต่ชีวิตของพวกเดียวกันเองหรือกระทั่งชีวิตของตนเองก็อาจไม่เว้น(/ระเบิดพลีชีพ)
๒. ทาง ด้านวิธีการ ๑๔ ตุลา/๖ ตุลาเมื่ออยู่ในเมือง ก็ไม่ได้ใช้วิธีการก่อการเข่นฆ่าทำลายล้างเจ้าหน้าที่บ้านเมือง จนเมื่อเข้าป่าเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ก็ต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธ ก็เข้าต่อกรกับกองกำลังของรัฐบาลโดยไม่ได้ทำร้ายประชาชน[แม้จะซุ่มโจมตีกองทหารรัฐบาล เมื่อมีประชาชน-พลเรือนรวมอยู่ด้วยก็ยังต้องถอนกำลังกลับที่ตั้ง เมื่อสถานการณ์ทางสากลเปลี่ยนแปลงกองกำลังเวียดนาม จะขอเอากองทหารลุยปลดปล่อยประเทศไทย เช่นเดียวกับที่ทำให้กับประเทศกัมพูชา ก็ยังปฏิเสธ 
จนกองกำลังของพรรคคอมมิวนิสต์ไทยบางพื้นที่ ถูกตีขนาบทั้งจากกองกำลังของรัฐบาล และจากกองกำลังพรรคคอมมิวนิสต์เพื่อนบ้าน
ด้วยยังมี "สำนึก" ของความเป็น "คนไทย" ของ "ประเทศไทย" อยู่อย่างเข้มข้น ทั้งๆ ที่ในขบวนของพรรคคอมมิวนิสต์ ประกอบด้วยคนหลายเชื้อชาติจีน ไทย ชนชาติกลุ่มน้อย/ม้ง ลั้วะ เย้า เมื่อทางฝ่ายรัฐบาลมีนโยบาย "การเมืองนำการทหาร" เปิดให้มาร่วม "พัฒนาชาติไทย" ก็ยอม "วางอาวุธ" และ หันมาต่อสู้กับ "ความอยุติธรรม" ในสังคมไทย ด้วยแนวทางสันติ ตามวิถีทางประชาธิปไตย]
ตรงกันข้ามกับสถานการณ์ของ "ผู้ก่อการ" ในสถานการณ์ชายแดนภาคใต้เวลานี้ ที่ยึดวิธีการเข่นฆ่าล่าสังหารทำลายล้างชีวิตประชาชนที่ "ไม่มีทางสู้" เป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นพวกไทยพุทธ หรือไทยมุสลิม ขอให้เข้าใจว่า เป็นพวกเดียวกับ "ประเทศไทย/รัฐบาลไทย" ก็ลอบกัดลอบสังหารหมด   จึงมี แนวโน้มที่ชี้ให้เห็นว่า พวกนี้ "พวกก่อการ" ในภาคใต้ นั้นว่า พร้อมจะเอากองกำลังต่างชาติ /ไม่ว่าชาติไหนก็ได้ ขอให้เป็นมุสลิมด้วยกันก็แล้วกัน/ มาเข่นฆ่าทำลายล้างคนไทยได้ทั้งนั้นทั้งสิ้น
ดังนั้นการนำ แนวทางสันติสมานฉันท์   แบบที่เคยใช้ได้ผลกับ นักศึกษาปัญญาชนกรรมการชาวนา ที่เข้าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทย มาใช้กับ กลุ่มผู้ก่อการในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น อาจจะต้องพิจารณาในมิติที่ลึกและมี "มาตรการที่รอบครอบในทางปฏิบัติ"  ที่ละเอียดมากกว่ากันมากนัก เพราะ นี่ไม่ใช่แค่เรื่องความแตกต่างทางชาติพันธุ์ภาษา และความไม่พอใจต่อความไม่เป็นธรรมตื้นๆ เท่านั้น แต่นี่เป็นเรื่องของ อุดมการณ์มุสลิมสายรุนแรง เพื่อการสถาปนา "รัฐอิสลาม" ที่มีอัตตลักษณ์ทางพิธีกรรมที่แสดงความเป็นตัวตนที่สุดโต่งซึ่งอุดมการณ์เช่นนี้จะไม่ยอมรับความแตกต่างหลากหลายทางวัฒนธรรมและความเชื่อ หากปล่อยให้มีอำนาจทางการเมืองขึ้นปกครองประเทศ หรือดินแดนใดดินแดนหนึ่งที่แน่นอนอย่างเป็นเอกเทศ ก็คาดเดาได้เลยว่า การกดขี่ในทุกมิติที่จะกระทำต่อประชาชน ภายใต้การปกครองของอุดมการณ์อิสลามสายรุนแรงพวกนี้ จะเป็นไปอย่างรุนแรง กว่าทุกระบอบการปกครองที่มีอยู่ในโลกนี้ ณ เวลานี้/กล่าวสำหรับไทยพุทธซึ่งเป็นคนจำนวนน้อยกว่าในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้คงจะถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์จนหมด หากพวกนี้บ่งแยกดินแดนและสถาปนา "รัฐอิสลาม" ได้สำเร็จ
ด้าน สถานการณ์โลก/สถานการณ์ทางสากล เป็นปัจจัยภายนอก ที่กระทำต่อประเทศไทย นั้นก็ ต้องเข้าใจว่ากระแสอุดมการณ์ที่ต่อสู้กันในโลกนี้นั้น มีกระแสใหญ่หลักๆ อยู่ ๓ กระแสคือ กระแสอุดมการณ์ทุนนิยมอเมริกา/ศาสนาคริสต์ กระแสอุดมการณ์อิสลาม/ศาสนาอิสลาม และ กระแสอุดมการณ์คอมมิวนิสต์/ไม่มีศาสนา   ที่ปะทะต่อสู้กันตลอด และทุกกระแสเป้าหมายอยู่ที่การแผ่ขยายอุดมการณ์ของตนเอง ให้ครอบคลุมโลกทั้งใบในที่สุดทั้งสิ้น
ทั้งนี้ กระแสที่      "น่าเกลียด/อัปลักษณ์/สามาณย์" ที่สุด    คือ กระแสอุดมการณ์ทุนนิยมอเมริกา ที่จะแปลงทุกสิ่งทุกอย่างเป็น "ทุน"/"สินค้า"/"กำไร"/และ "การบริโภค" และ จะแบ่งประชากรโลกออกเป็น ๒ ขั้ว "ผู้ยึดครองปัจจัยการผลิต" จำนวนน้อยนิด ซึ่งกำหนด-ควบคุมทิศทางการขับเคลื่อนพลังการผลิตและมี "อำนาจ" เกือบเบ็ดเสร็จในการครอบงำโลกทั้งโลก กับ "ผู้ขายแรงงาน" ทั้งแรงงานกาย-แรงงานสมอง จำนวนมาก ซึ่งจะกลายเป็นพวก "ผู้บริโภค"ที่จะถูกชักจูง "ล้างสมอง" ให้บริโภคสินค้าขยะ/บริการเพิ่มพูนกิเลสกันอย่างบ้าคลั่ง  อันเป็นสินค้าและบริการที่เกินความจำเป็น ความสามาณย์อัปลักษณ์สุดๆ อยู่ที่ อบายมุขและความเสื่อมทรามสุดๆ ทางคุณธรรมจริยธรรมอย่างทั่วด้าน แต่ ข้อดี ของทุนนิยมอเมริกา ก็คือ พลังการผลิตโดยเทคโนโลยี่ที่ก้าวหน้า  ส่วนกระแสอุดมการณ์คอมมิวนิสต์ นั้น เป็นอุดมการณ์ที่มุ่งเน้นไปที่การถือครอง "ปัจจัยการผลิต" /ที่ดิน แรงงาน     โภคทรัพย์ธรรมชาติ-โภคทรัพย์สมมติ-เงิน-เทคโนโลยี่-สิ่งประดิษฐ์ อันเป็นผลผลิตจากสติปัญญามันสมอง เป็นอายธรรมของมนุษยชาติ / ว่า จะต้องเป็น ของ "ส่วนรวม/สังคม" ฯลฯ แต่ตามทฤษฎีมีเงื่อนไขว่า "พลังการผลิต" ต้องก้าวหน้าถึงขั้น ผลิตสิ่งของเครื่องใช้อันเป็นความต้องการจำเป็นสนองแก่มวลสมาชิกของตนได้แบบ "ทุกคนทำตามความสามารถ ได้ผลตอบแทนตามความจำเป็น ในช่วงต้น     และ"ทุกคนทำตามความสามารถ ได้ผลตอบแทนตามความต้องการในช่วงปลาย /สังคมพระศรีอารย์ฯ?/ ซึ่งต้องสัมพันธ์กับการพัฒนา "รูปการจิตสำนึก" ที่ปราศจากการ "เห็นแก่ตัว" ทุกรูปแบของทุกผู้ทุกคน จึงจะต้องผ่าน พลังการผลิต และ รูปการใช้ชีวิต รูปการจิตสำนึก แบบ สังคมทุนนิยมมาก่อน เช่น เข้าใจการเลือกตั้ง เข้าใจการมีส่วนร่วมทางการเมือง เข้าใจระบบเศรษฐกิจ เข้าใจ...และเข้าใจ....ฯลฯ และที่สำคัญ เข้าใจวิถีความเป็นไปของวิทยาศาสตร์ธรรมชาติ จนตระหนักและประจักษ์แจ้งในที่สุด ว่า ปลายทางข้างหน้า ของ ทุนนิยม คือ ความหายนะ ของมวลมนุษยชาติ [มีหลายประเทศพยายามฝืนเงื่อนไขดังกล่าวนี้ จาก สังคมศักดินาก็จะก้าวข้ามไปสังคมแบบสังคมนิยมหรือสังคมคอมมิวนิสต์เลย โดยไม่ผ่านทุนนิยม ผลก็คือ  พังทลายกันระนาวต้องกลับมาพัฒนาพลังการผลิตแบบทุนนิยมกันใหม่ เพราะจากรูปการจิตสำนึกแบบศักดินา ซึ่งยังงมงายกับสมมติเทพ หรือความเชื่อทางไสยศาสตร์ต่างๆ เมื่อเข้าสู่สังคมนิยมหรือคอมมิวนิสต์เลยก็เลยได้ผู้นำ และการปกครองแบบศักดินาอยู่นั่นแหละ ได้ผู้นำเป็นเผด็จการ-เหมา-สตาลิน-ล้วนเป็นเผด็จการ ี่ใครแตะต้อง วิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ คล้ายผู้นำในระบบสมบูรณาญาสิทธิราช ] ทั้งนี้ยุคที่เพิ่งผ่านมากระแสที่ปะทะต่อสู้กันเป็นด้านหลักของโลก คือ คอมมิวนิสต์ กับ ทุนนิยมอเมริกาปัจจุบันเมื่อคอมมิวนิสต์ล่มสลายกลายเป็นพวกเดียวกับทุนนิยม หรือเป็นปฏิปักษ์กันน้อยลงไป ในทางการเมืองการทหาร โดยไม่ต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายเหมือนก่อน และ ยังร่วมกัน "พัฒนาเศรษฐกิจเทคโนโลยี่/พลังการผลิต" รวมทั้งวัฒนธรรมในการบริโภคให้เป็นแบบทุนนิยม อยู่ในสภาพที่ "ทุนนิยม" กำลังกลืนกิน "โลกคอมมิวนิสต์" สยายปีก โลกธุรกิจแบบทุนนิยม ที่มี  "การบริโภคสินค้าที่"ล้นเกินความต้องการจำเป็น" จำนวนมากจากพลังการผลิตแบบทุนนิยม"  เป็น "ท่อส่งน้ำหล่อเลี้ยงสำคัญ  เข้าไปครอบงำแทรกซึมโลกคอมมิวนิสต์ให้กลายพันธุ์เป็น "เนื้อนาบุญ/นาบาป" ส่วนหนึ่งของจักรวรรดิทุนนิยม โดยเฉพาะประเทศจีนผืนแผ่นดินใหญ่ เมื่อบริโภคมากก็ต้องล้างผลาญพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติเพื่อการขับเคลื่อนมาก แต่ด้วยทรัพยากรสำคัญในการขับเคลื่อนทุนนิยมในยุคนี้ ก็คือ น้ำมัน ซึ่ง เกือบทั้งหมดในโลกนี้อยู่ในความครอบครอง ของ โลกมุสลิม  ทุนนิยมอเมริกา จึง นอกจากกำลังผสมพันธุ์กลืนกินและย่อยสลายโลกคอมมิวนิสต์แล้ว ก็ยังจะต้องทำอย่างนี้กับโลกมุสลิมด้วยเช่นเดียวกัน อิทธิพลทุนนิยมอเมริกาทำให้โลกมุสลิมแยกออกเป็นสองสาย คือ มุสลิมสายกลางและ มุสลิมสายรุนแรง
มุสลิมสายกลาง คือ มุสลิมที่พอจะเข้าและรับได้กับทุนนิยมอเมริกา เป็นมุสลิมที่มีความยืดหยุ่นซึ่ง รับเอาวัฒนธรรมแบบทุนนิยมอเมริกาเข้าไปในวิถีชีวิตในระดับหนึ่ง และบางประเทศยังปราบพวกมุสลิมหัวรุนแรง อย่างเด็ดขาด จนต้องหนีออกนอกประเทศอีกด้วย ซึ่งสำหรับ มุสลิมสายรุนแรง/สายก่อการร้าย จะเป็นอะไรเหมือนว่า พยายามจะดึงโลกให้ย้อนยุคประวัติศาสตร์กลับไปสู่อดีต เมื่อครั้งที่ อิสลามดึกดำบรรพ์ เจริญรุ่งเรือง สามารถเผยแพร่ความเชื่อของตนไปได้ครึ่งค่อนโลก ด้วยวิธีล้างผลาญฆ่าฟันผู้คนที่มีความเชื่ออื่นซึ่งในสมัยนั้น  ก็คือ ความเชื่อแบบพุทธ/แบบพราหมณ์-ซึ่งเป็น ความเชื่อ ที่เกิดมีมาก่อนความเชื่อแบบอิสลามหรือคริสต์หลายศตวรรษ เป็นความเชื่อแบบมีรูปปั้น มีรูปเคารพ ซึ่งเมื่อพวก มุสลิมดึกดำบรรพ์ ซึ่งจะยึดถือแต่คำสอนในคัมภีร์ของตนเท่านั้น แผ่อิทธิพลเข้ามาได้ ก็จะทำการเข่นฆ่าทำลายล้างทั้งคนที่เป็นพุทธเป็นพราหมณ์ และรูปเคารพ เสียให้อย่างสิ้นทราก แบบที่ไม่ให้เหลืออะไรไว้ให้คนรุ่นหลังศึกษาได้ว่า เคยมีอารยะธรรมอื่นนอกเหนือจากอารยะธรรมของอิสลามมาก่อน    และ มุสลิมสายรุนแรงปัจจุบัน   ก็กำลังทำเช่นเดียวกับ มุสลิมดึกดำบรรพ์ ในอดีตรูปธรรมย้อนหลังไปใกล้หน่อย ก็อย่างเช่น ที่พวกตาลีบันทำกับรูปเคารพของศาสนาพุทธในอัฟกานิสถาน ไกลหน่อยก็ที่พวกมุสลิมมะละกา ทำกับอาณาจักรัฐปัตตานีเมื่อกว่าร้อยปีมาแล้ว เป็นต้น ปัจจุบัน มุสลิมสายรุนแรง แผ่อิทธิพลของตัวเองโดยการสร้างความน่าสะพรึงกลัวให้เกิดขึ้น ในหมู่ผู้คนของทุกชุมชนที่มีคนมุสลิมอยู่ ในทุกหนทุกแห่งในโลกที่มี "เงื่อนไข" เปิดให้พวกเขาสามารถเข้าไปก่อความรุนแรงได้ ด้วยการบิดเบือนศาสนาหรือยกเอาเนื้อหาบางตอนที่ระบุการใช้ความรุนแรงไว้จากคัมภีร์ทางศาสนาของอิสลาม มาใช้ ปลุกความบ้าคลั่ง ของคนมุสลิม ที่มี"บาดแผลทางจิตใจ" จากความไม่เป็นธรรมของสังคมในกรณีต่างๆ ให้ลุกขึ้นมา ๑) ฆ่าคนตาย ๒)ตาย/"สู้ตาย" และ ๓) ทำลายทรัพย์สินทำลายอารยะธรรมของคนความเชื่ออื่นๆ เสียจนสิ้นทรากได้ โดย "ไม่รู้สึกผิด" และคนมุสลิมสายรุนแรงที่ลุกขึ้นมาทำอย่างนี้ได้และญาติพี่น้องของพวกเขาจะรู้สึกมีความสุขใจ? มีความความภาคภูมิใจ? ที่จะได้ทำศพลูกหลานของตัวเองด้วย พิธีกรรมการทำศพของ "นักรบศักดิ์สิทธิ" อันเป็นลักษณะพิธีกรรมที่เป็นอัตตลักษณ์ของศาสนาและจะเป็นการปลุกเร้าให้คนที่เหลืออยู่ออกไป "เข่นฆ่า" ผู้คนความเชื่ออื่นหรือฝ่ายตรงข้าม และหรือ "สู้ตาย" แบบเดียวกันได้อีกเป็นวัฏจักร จนกว่า มุสลิมสายรุนแรงจะครอบครองดินแดนโลกทั้งใบ? เพราะถูกฝังหัวให้ คิดและเข้าใจและเชื่อว่า เป็นการตายเพื่อพระเจ้าใน "สงครามศักดิ์สิทธิ์"/jihad? และจะได้กลับไปสู่พระเจ้าหลังความตายจากการเข่นฆ่าล้างผลาญผู้คนเช่นนี้ ซึ่ง ถ้ามนุษยชาติไม่มืดมิดอวิชชาก็จะเห็นหรือเข้าใจได้อย่างง่ายๆ ว่า นี่นับเป็นเพียง การนำเอาศาสนามาใช้เป็น "เครื่องมือ" เพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ทางการเมืองการสงคราม ในยามที่ต้องการ "โค่นล้มทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม" ด้วยความรุนแรง (ส่วนในยามปกติ "ชนชั้นปกครอง/ชนชั้นนำ/ชนชั้นครอบงำสังคม/แกนนำการเคลื่อนไหว" ของมุสลิมสายรุนแรง ก็จะใช้ "ศาสนาเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์" ทุกทางอย่างเบ็ดเสร็จครบวงจร? เพื่อควบคุมประชาชนคนมุสลิมให้อยู่ในแถวตามที่พวกตนต้องการ-รัฐอิสลาม)  นั่นเอง อันเป็นพฤติกรรมที่ "ชนชั้นปกครอง/ชนชั้นนำ/ชนชั้นครอบงำสังคม/แกนนำการเคลื่อนไหว" ของทุกความเชื่อทุกเชื้อชาติทุกภาษาทุกวัฒนธรรมก็ล้วนทำแบบนี้ ทำกันมานับตั้งแต่มนุษย์คิดเรื่องศาสนาขึ้นมาได้จนกระทั่งปัจจุบัน แต่พวกมุสลิมสายรุนแรงนำมาใช้อย่างเข้มข้นที่สุดกว่าทุกความเชื่อ โดยดูได้จากมุสลิมสายรุนแรง     จะอาศัยการสร้าง อัตตลักษณ์ที่ยึดติดไม่ยืดหยุ่นอันใครจะแตะต้องเปลี่ยนแปลงแม้แต่นิดเดียวมิได้ (taboo) /   เช่นภาษาพูด การแต่งกายที่เข้มงวด การไม่เคารพรูปเคารพ  การที่ผู้หญิงต้องคลุมหน้า ฯลฯ / มาควบคุมคนมุสลิมในชุมชนที่ตนมีอิทธิพล และเอาเรื่องเหล่านี้ มาเป็น "ข้อขัดแย้ง" ปลุกระดมให้ "สาวก" ของตน "พลีชีพ" ในการก่อความรุนแรงทำลายล้างเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ด้วยข้ออ้างว่าความเชื่อหรือวัฒนธรรมอื่นจะเข้ามาทำลายลักษณะอัตตลักษณ์ที่พวกตนได้สร้างขึ้นไว้เหล่านี้] / ทำเช่นนี้ตลอดมาตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ในอดีต จนถึงยุคปัจจุบัน   หมายถึงอิสลามดึกดำบรรพ์ อิสลามสายรุนแรงเข้าไปอยู่ที่ไหน หรือไปเป็นใหญ่ที่ไหน ที่นั่น ก็จะต้องมีแต่อิสลามเท่านั้น! พฤติกรรมเช่นนี้ จึงเป็นภัยคุกคามต่อการอยู่ร่วมกันของเพื่อนมนุษย์ร่วมโลก ที่หลากหลายความเชื่อโดยตรง แม้แต่ความเชื่อแบบอิสลามเดียวกันแต่ต่างนิกายก็รบราฆ่าฟันกัน จึงยังมองไม่เห็นข้อดีของ มุสลิมสายรุนแรง เลยสักข้อ
มีข้อที่น่ากังขาก็คือ มุสลิมสายรุนแรง ยุคปัจจุบันเปิดศักราชขึ้นโดย นายบินลาเดน ซึ่งเคยมีสัมพันธภาพอันดีกับทุนนิยมอเมริกามาก่อน จึงมีผู้ตั้งสมมติฐานว่า มุสลิมสายรุนแรง จะเป็น "พวกเดียวกัน" กับ พวกฝ่ายขวา ของทุนนิยมอเมริกาซึ่ง ก็คือ มีพวก ทุนค้าอาวุธ ทุนค้าน้ำมัน ฯลฯ ข้ามชาติ ชักใยอยู่เบื้องหลัง เพราะหากมีข้อพิพาทขัดแย้งเกิดเป็นสงคราม เกิดเป็นการรบพุ่งขึ้นเป็นหย่อมๆ เกิดการหวาดระแวงกันระหว่างประเทศใกล้เคียง อาวุธยุทโธปกรณ์ก็ขายได้ระบายออกได้ การรบพุ่ง/การก่อการร้าย จึงเป็น "ตลาด" ของทุนค้าอาวุธข้ามชาติ รวมทั้ง    ตลาดของทุนเทคโนโลยี่ ที่ต้องใช้ในการรบพุ่งและต่อต้านการก่อการร้าย และโดยข้ออ้างว่า เพื่อยับยั้ง "การสนับสนุน/ปราบปราม" การก่อการ้าย ก็ทำให้ทุนนิยมอเมริกาสมารถรุกรานเข้าไปในโลกมุสลิม เพื่อยึดกุมแหล่งพลังงานน้ำมันได้อีกด้วย นั่นหมายถึงว่า ทุนนิยมอเมริกา ต้องสร้างและผลักดันให้โลกนี้มี "สงคราม" ตลอดเวลา จาก ยุคสงครามเย็น กับ อุดมการณ์คอมมิวนิสต์ ก็ต่อด้วยยุคสงครามการก่อการร้าย กับ อุดมการณ์อิสลามสายรุนแรง และพลเมืองโลกยุคนี้ รวมทั้งพลเมืองโลกในประเทศไทย-เราคนไทย-ก็ต้องตระหนักกันว่า เราอยู่หรือถึงอย่างไรเสียก็ต้องถูกผลักดันลากจูงให้อยู่ในยุตแห่ง สงครามก่อการร้ายอย่างมิอาจหลีกเลี่ยง         [แล้วเราจะอยู่อย่างไร เพราะสงครามยุคนี้ มันน่าสะพรึงกลัวกว่ายุคก่อน เพราะมันไม่มีกฎกติกามารยาทอะไรเลย   ด้วยว่าทุนนิยมอเมริกานั้น ในที่สุดแล้วพัฒนาการเมื่อเจริญเติบโตเต็มที่อย่างสุดๆ แล้ว ก็คือ กลุ่มทุนผูกขาดข้ามโลกข้ามชาติ ที่ฝ่ามิติขีดจำกัดแห่งรัฐและชาติพันธุ์ ทำให้โลกทั้งโลกกลายเป็น แหล่งผลิต กับ แหล่งระบายผลผลิต เพื่อการบริโภค/การบริการ เท่านั้นด้วยการจะกลืนกินโลกทั้งโลก โดยมีวัฒนธรรมการบริโภคที่เกินความจำเป็น นำทางด้วยอบายมุขและความชั่วช้าทางศีลธรรมทั้งปวง เช่น วัฒนธรรมการแต่งตัวที่ยั่วกิเลสตัญหาทางเพศ การค้าประเวณี การพนัน วัฒนธรรมทางเพศที่ต่ำทรามและเหลวแหลก การเสพสุขทางวัตถุ ฯลฯ เพื่อยั่วกิเลสตัญหาให้บริโภค บริโภคและบริโภคและบริโภค ซึ่งเมื่อรุกเข้าไปในโลกมุสลิมเพื่อยึดกุมแหล่งทรัพยากร "น้ำมัน" จึงต้องเจอกับการต่อต้านจากลักษณะอัตตลักษณ์ของมุสลิมสายรุนแรงอย่างรุนแรง แต่เนื่องจาก "ความด้อยกว่า" ในเทคโนโลยี่และกำลังการสู้รบทุกๆ ด้าน มุสลิมสายรุนแรง จึงเลือกใช้การตอบโต้ด้วยความรุนแรงสุดขั้วที่ไม่มีมิติของศีลธรรมจริยธรรมใดๆ ในยุคนี้ฉาบหน้าอยู่เลย ด้วยการอ้างคำสอนของศาสดาแห่งศาสนาของตน ก็ทำให้ "สาวก" ของตนลุกขึ้นมาฆ่าคนตายอย่างสยดสยอง และลุกขึ้นมาตายเพื่อโลกหน้าเพื่อพระเจ้าที่ไม่มีตัวตนได้ทุกวันเวลาแลทุกสถานที่ได้ทั่วโลก และขณะที่กระแสทุนนิยมอเมริการุกรานแทรกซึมทุกด้าน ไปยังทุกตารางนิ้วของโลก กระแสอิสลามก็ทำเช่นเดียวกัน
กล่าวเฉพาะตรงพื้นที่ปลายด้ามขวานประเทศไทย ต่อกับรัฐกะลันตันประเทศมาเลเซีย เป็นรอยตะเข็บที่   อิทธิพลของประแสโลกทั้งสองกระแสนี้ มาปะทะกันพอดี เคยมีอิทธิพลของกระแสอุดมการณ์และกองกำลังติดอาวุธของคอมมิวนิสต์เป็นกันชนคั่นกลางอยู่ เมื่ออิทธิพลคอมมิวนิสต์หมดไป สองกระแสนี้จึงปะทะกันโดยตรง  โดยประเทศไทยเป็นตัวแทนของกระแสทุนนิยมอเมริกา  และประเทศมาเลเซียเป็นตัวแทนของกระแสอุดมการณ์แสอิสลาม
ประเทศมาเลเซีย ดำเนินกลยุทธ โดย ด้านหนึ่ง ก็ใช้มุสลิมสายกลาง/รัฐบาลมาเลเซีย เดินเกมการเมืองแบบอ่อนแต่รุกฆาต/นโยบายการทูตสองหน้า กับ รัฐบาลไทยและลวงให้รัฐบาลไทยให้หลงทิศผิดทาง เข้าใจว่ากำลังรบกับชาวบ้านไร้พิษสง / ที่สามารถจะสามารถสมานฉันท์ให้กลับมาเป็นพวกได้ด้วยการ "พับนกกระดาษ" ความจริงไม่ใช่ แต่กำลังสู้รบอยู่กับกองกำลังมุสลิมมลายูมาเลเซีย ในคราบชาวบ้าน ในคราบผู้ก่อการแบ่งแยกดินแดน ตะหาก / อีกด้านหนึ่ง ก็ใช้หรือเปิดทางให้มุสลิมสายรุนแรง / กลุ่มแบ่งแยกดินแดน ภายใต้การสนับสนุนของรัฐกะลันตันฐานเสียงพรรคปาสฝ่ายค้าน เดินเกมทางการทหารสวมรอยเปิดยุทธการสงครามกองโจร ที่ไม่ประกาศอันไร้ซึ่งกฎกติกาในเมืองในพื้นที่ของสามจังหวัดชายแดนภาคใต้  / ที่อาจจะมี หน่วยคอมมานโด ของ พวกก่อการร้ายมุสลิมสายรุนแรงที่ใช้พื้นที่ของมาเลย์กลันตันเป็นแหล่งกบดานและทางผ่านเป็นแกนก็ได้ โดย สมทบกับมุสลิมพูดมลายูสองสัญชาติในไทย /และ-ควรต้องเข้าใจว่า มาเลเซีย พร้อมจะให้สัญชาติมาเลย์แก่มุสลิมมลายูในสามจังหวัดของไทยได้ทุกเมื่อ / เข้ามาสร้างสถานการณ์ให้สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ลุกเป็นไฟ โดยที่ "กองทัพไทย" หรือ กองกำลังติดอาวุธของรัฐบาลไทยทุกกองกำลัง ตำรวจ/ตำรวจตระเวนชายแดน ทหารประจำการ ทหารพราน ทหารเรือ/นาวิกโยธิน ฯลฯ ต้องอยู่ในสภาพไร้ประสิทธิภาพอย่างสิ้นเชิง  [เช่นนี้ไม่ได้เป็นการวิเคราะห์อย่างลอยๆ แต่เป็น การถอดรูปธรรมออกมาจากนามธรรม ของ เหตุการณ์สังหารนาวิกโยธินไทยที่หมู่บ้านตันหยงมอร์ นราธิวาส ที่เหตุการณ์ภายในประเทศสอดรับกับการเคลื่อนไหวและการแสดงออก ของภาครัฐ/ภาคประชาชน ของประเทศมาเลเซีย]
ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นเป็นสภาพภายนอกประเทศ หรือ"ปัจจัยภายนอกที่ไม่เป็นคุณ"  อันกระทำต่อประเทศไทยในสถานการณ์สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่ง เราอาจเรียก ประเทศมาเลเซีย ที่ "คนภายในประเทศเขาทั้งที่เป็นฝ่ายรัฐบาลฝ่ายค้านและภาคประชนของเขา ซึ่งมีพฤติกรรมกระทำต่อประเทศไทยดังกล่าว ตาม สุภาษิตไทยโบราณ ได้ว่า "พวกตีท้ายครัว"
ด้วยเพราะว่า  "ปัจจัยภายในประเทศที่ไม่เป็นคุณ" นั้น มีอยู่มากมายหลายประการด้วยกันทำให้ประเทศไทยโดยรัฐบาลคุณทักษิณ ไม่สามารถจะดำเนินการต่อกรกับสถานการณ์ในภาคใต้อย่างมีประสิทธิผลได้เลย? ซึ่งเท่าที่ติดตามข่าวสารจากสื่อ เห็นว่า เป็นการดำเนินการที่เป็นไปแบบไร้ทิศทางไม่มียุทธศาสตร์ที่แน่นอนคงเส้นคงวา รวมทั้งไม่มีกลยุทธในพื้นที่เพื่อแก้เกมของผู้ก่อการหรือถึงมีก็ยังไม่มีผล ยังเป็นฝ่ายตั้งรับที่เป็นฝ่ายถูกกระทำอยู่ทุกกระบวนท่า เป็นการดำเนินการที่เป็นไปแบบสะเปะสะปะ โดยไม่มียุทธศาสตร์ที่แน่นอนคงเส้นคงวา รวมทั้งกลยุทธในพื้นที่เพื่อแก้เกมของผู้ก่อการก็ยังไม่เห็นมีหรือถึงมีก็ยังไม่มีผล ยังเป็นฝ่ายตั้งรับที่เป็นฝ่ายถูกกระทำซ้ำซากอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่า ซึ่งบทความนี้ มีความเห็นว่า ที่เป็นไปดังนี้ก็เพราะ  "ปัจจัยภายในประเทศที่ไม่เป็นคุณโดยแท้ ทั้งปัจจัยภาครัฐและปัจจัยภาคประชาชน โดย ปัจจัยภาครัฐ นั้น ต้องยอมรับว่า ในโครงสร้างอำนาจรัฐ ตามรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ /ที่กว่าจะประกาศใช้ได้ ต้องมีการประลองกำลังกันหลายยก เมื่อเปิดใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้เพียง แค่ยังไม่เต็ม 3 สมัยการเลือกตั้ง ก็เป็นบทพิสูจน์ว่า รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ / ได้เปิดทางให้กลุ่มทุนใหม่เข้ายึดกุมอำนาจรัฐได้อย่างเบ็ดเสร็จ จน "กลุ่มอื่น" แทบจะ "ไม่มีที่ยืน" ในทุกปริมณฑล ทำให้ "ปัจจัยที่เป็นคุณ" กลายเป็น "ปัจจัยที่เป็นโทษ" ได้แก่ ๑. พรรคฝ่ายค้านเก่าแก่พรรคหนึ่ง ซึ่งแนบแน่นกับกลุ่มอิทธิพลเก่าทั้งในระดับท้องถิ่นและในระดับประเทศของภาคใต้ และ เท่าที่ผ่านมา ก็เป็นพรรคการเมืองที่ครองเสียงเลือกตั้งในภาคใต้ มาแทบทุกยุคทุกสมัย จนแทบจะเป็นพรรคการของ "คนใต้" โดย "คนใต้" เพื่อ "คนใต้/ในพรรค?" โดยเฉพาะ รวมทั้งยังขึ้น เป็นรัฐบาล หรือร่วมรัฐบาล มาหลายยุคหลายสมัยเช่นกัน การจัดวางกำลังพลกำลังคน ตลอดจน "อิทธิพลท้องถิ่น"/"หัวคะแนน มีความแน่นหนาและหยั่งรากลงลึกค่อนข้างมากในทุกเขตพื้นที่เลือกตั้งของภาคใต้ ประกอบกับ "พฤติกรรม" ของพรรคนี้ ที่ "เล่นการเมือง" เท่าที่ผ่านมา จะใช้ทุกรูปแบบเพื่อ "ชนะ" ทางการเมือง/เพื่อจะได้เป็น "รัฐบาล" เท่านั้น โดยสานผลประโยชน์กับข้าราชการประจำ และอิทธิพลท้องถิ่นอย่างแนบแน่น ด้วยเป็นพรรคท้องถิ่นมาเนิ่นนานจนบัดนี้ ย่อมต้องรู้ปัญหาท้องถิ่นรวมทั้งความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน และเส้นสนกลในของพวกเขา ที่เกี่ยวข้องกับสาม-ห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของ ประเทศเป็นอย่างดี ่อปัญหาที่เกิดขึ้นในภาคใต้ ณ ขณะนี้ ถ้าพรรคนี้ต้องการจะมีบทบาทในการช่วย "ดับไฟใต้" น่าจะทำให้ดีกว่าที่เป็นอยู่   เพราะที่เป็นอยู่นั้น นอกจากจะแทบไม่ได้ทำอะไร ที่เป็นคุณต่อประเทศแล้ว บางทีบางส่วนยังมี "พฤติกรรม" ชวนให้เข้าใจว่า จะเป็น "ส่วนหนึ่ง" ที่มีเจตนาจะโหมกระพือเหตุการณ์ ให้รุนแรงขึ้นเสียอีกด้วย ๒. ข้าราชการประจำ ทั้งโดยตัวบุคคลและโดยระบบ สืบเนื่องจากสภาพดังที่กล่าวในข้อ ๑. ข้าราชประจำในพื้นที่จำนวนไม่น้อยที่ติดพื้นที่ ย่อมต้องมีเป็นจำนวนไม่น้อยที่เส้นเป็นสาย เป็นคนของพรรคฝ่ายค้านสมัยที่เคยเป็นรัฐบาล การให้ความร่วมมือการทำตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ที่ไม่ใช่ "นำ" โดย "คนใต้" มีปัญหาเรื่อง การประสานงานเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติ/ฉุกเฉิน เป็นอันมาก ดังจะเห็นได้ว่าในกรณีปัญหา "ไฟใต้" นี้ ขยับแต่ "ส่วนหัว"/คือ ท่านทักษิณ-รัฐบาล เท่านั้น ข้าราชการประจำที่เปรียบเสมือนแขนขาของรัฐบาลในพื้นที่ อยู่ในสภาพง่อยเปลี้ยอย่างเกือบจะสิ้นเชิง กันทุกฝ่ายทุกสังกัด โดยเฉพาะฝ่ายปกครอง/ นายอำเภอ ปลัดอำเภอ กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน/ ยังให้ฝ่ายตำรวจทหารไร้ประสิทธิภาพโดยสิ้นเชิง ๓. เครือข่ายโยงใยดินแดนประเทศเพื่อนบ้าน ประชาชนคนพูดมลายูทั้งในระดับรากหญ้า และในระดับชนชั้นสูง ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีสายสัมพันธ์ทางเครือญาติ ทั้งโดยการสมรสโดยการเกี่ยวดองทางสายเลือด มาแต่ครั้งประวัติศาสตร์ /แม้ในปัจจุบันเมื่อเร็วๆ นี้ เจ้าชายในราชวงศ์ของรัฐหนึ่งของประเทศเพื่อนบ้าน ก็ภิเษกสมรสกับหญิงไทยสามัญชน/ โยงใยดังนี้น่าจะเป็นปัจจัยที่เป็นคุณ กับการพัฒนาประเทศในเขตพื้นที่นี้ แต่ก็กลับเป็นปัจจัยที่เป็นโทษไปเสีย ที่เมื่อเกิดความขัดแย้งต้องการก่อสถานการณ์เพื่อเปลี่ยนขั้วอำนาจภายในประเทศ โยงใยดังนี้กลับถูกสวมรอยใช้เพื่อ "การแบ่งแยกดินแดน" เพื่อการ ฟื้นฟูรัฐของเชื้อสายราชวงศ์เก่าที่ล่มสลายไปแล้ว ที่เคยครองพื้นที่นี้อยู่ช่วงสั้นๆ ช่วงหนึ่งในสมัยโบราณ? แต่ก็เชื่อว่าจะยังไม่สายเกินไปที่ "รัฐบาลไทย" จะหันมาพลิกสถานการณ์แปลงปัจจัยนี้ให้กลับมาเป็นคุณ ส่วน ปัจจัยภาคประชาชน นั้น ด้วยเพราะ ประเทศไทยเป็นประเทศที่เปิดให้แทบทุกศาสนาเข้ามาเผยแพร่ได้ จึงประเมินว่า สถานการณ์ "ไฟใต้" นั้นไม่ได้มี "สาเหตุ" เกิดแต่ความขัดแย้งหรือถูกกีดกันทางศาสนา ต่ศาสนาถูกหยิบยกขึ้นมา "บิดเบือน" เพื่อรับใช้ผลประโยชน์ของการเมืองของ "ผู้ก่อการ" ซึ่งบทความนี้ ประเมินว่า ณ วันนี้ "ผู้ก่อการ" ที่ก่อการเป็นด้านหลักคือ กลุ่มก้อนที่เป็น "เชื้อสาย" ของ เชื้อสายราชวงศ์เก่าที่ล่มสลายไปแล้ว ที่เคยครองพื้นที่นี้อยู่ในสมัยโบราณอยู่ช่วงสั้นๆ อยู่ยุคหนึ่ง โดยการสนับสนุนของ "โยงใย" ทางเชื้อสายเครือญาติประชาชนคนมลายูที่กล่าวไปข้างต้น และโดยเฉพาะ "การสนับสนุนอย่างไม่เป็นทางการ" และ "อย่างเป็นทางการ"/เช่น กรณีคนไทยอพยพ131 คน/ ทุกวิถีทางของผู้คนและองค์กรทั้งทางการเมืองและทางศาสนา ของ ประเทศเพื่อนบ้าน ที่อาจจะเป็นคนละพวกฝ่ายของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้านซึ่งทรงอิทธิพลอาจจะถึงขั้นล้มฝ่ายรัฐบาลได้เฉกเช่นพรรครัฐบาลกับพรรคฝ่ายค้านของประเทศไทยเช่นกัน ซึ่งบทความนี้จะขอแบ่งภาคประชาชน ออกเป็น ภาคประชาชนในพื้นที่ และ ภาคประชาชนนอกพื้นที่ โดย ภาคประชาชนในพื้นที่ จะได้แก่ ๑/พวกชาวบ้านคนไทยมุสลิมมลายู ที่มีเครือญาติ เส้นสายโยงใยกับประเทศเพื่อนบ้าน ทั้งในระดับรากหญ้าและในระดับชนชั้นนำ ซึ่งเป็นพวกที่น่าจะเป็น "ผู้ก่อการ" และ "แนวร่วม" ไม่ทางใดทางหนึ่งของ "ผู้ก่อการ" โดยเฉพาะที่เป็น ผู้นำทางศาสนา-ครู/โต๊ะครู/โต๊ะอิหม่าม พวกนี้มีอิทธิพลทางความคิด ความเชื่อ ความศรัทธาของชาวบ้าน และที่สำคัญ คือ ทำหน้าที่ "สอนและปลูกฝัง" ความคิดความอ่านทุกด้านให้เยาวชน และ ๒/พวกชาวบ้านคนไทยพุทธ/คนไทยมุสลิมในองค์กรรัฐ-รัฐวิสาหกิจ ซึ่งตกเป็นเป้าการเข่นฆ่าทำลายล้างของ "ผู้ก่อการ"  และ ภาคประชาชนนอกพื้นที่ ก็ได้แก่ องค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ นักการสื่อสารมวลชน สื่อวิทยุ สื่อโทรทัศน์ นักการเมืองท้องถิ่น ฯลฯ        พวกนี้จะเป็นพวกที่ด้านหนึ่งก็ปารถนาดีต้องการให้ภาคใต้สงบ อีกด้านหนึ่งก็เกลียดผู้นำรัฐบาล บ้างจึงต้องการให้เหตุการณ์บานปลายจะได้กดดันให้รัฐบาลล้ม เพื่อพวกฝ่ายของตนหรือใครก็ได้จะได้ขึ้นแทน พวกนี้จึงพูดหรือเขียนหรือสื่อความหมายออกทางสื่อทำนองให้ท้าย "ผู้ก่อการ" กลายๆ กระทั่งการสนับสนุนความคิดเห็นของอดีตผู้นำและพรรคฝ่ายค้าน ของ ประเทศเพื่อนบ้าน ที่มีพฤติกรรม แสดงออกอย่างแจ้งชัดขึ้นเรื่อยๆ ว่าจะอยู่เบื้องหลังการให้การสนับสนุนหรืออย่างน้อยก็การทำเอหูไปนาเอาตาไปไร่ กับการให้ที่พักพิงกับ "ผู้ก่อการ" และการพยายามนำเอาปัญหาภายในของประเทศไทยขึ้นสูการถกระดับสากล พวกนี้ึงถูกทางฝ่ายผู้สนับสนุนรัฐบาลโจมตีว่าเป็น "แนวร่วม"/แนวร่วมมุมกลับ ของ "ผู้ก่อการ(ร้าย)" ภาคใต้ไม่ว่าจะโดยเจตนาหรือไม่
จากที่กล่าวมาทั้งหมด บทความนี้ จึงรวบยอดแบ่งพวก "ผู้ก่อการ"  ออกได้เป็น ๒ จำพวกใหญ่ๆ คือพวกหนอนบ่อนไส้ กับ พวกตีท้ายครัว โดย พวกหนอนบ่อนไส้ คือ บุคคล กลุ่ม องค์กร และ ชาวบ้านในพื้นที่ /ที่เป็น "มือ" เป็น "เท้า" เป็น "เกราะกำบัง" ที่ลงมือปฏิบัติการก่อความรุนแรงให้ "ผู้ก่อการ"/ ภายในประเทศที่มีพฤติกรรมที่ทำให้สถานการณ์ชายแดนภาคใต้อยู่ในภาวะที่ "รัฐบาล"/เจ้าหน้าที่รัฐ เป็นฝ่ายถูกกระทำทั้งในทางการเมืองการทหาร ส่วน พวกตีท้ายครัว ก็คือคน กลุ่ม องค์กร ที่อยู่อาศัยและพักพิงอยู่ในพื้นที่ของประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งให้การสนับสนับสนุนทั้งในทางลับและในทางแจ้ง ทั้งในระดับท้องถิ่นติดพื้นที่ระดับประเทศและระดับสากล ็แล้วประเทศไทยและหรือรัฐบาล /ณ ขณะนี้ คือ รัฐบาลไทยรักไทยที่มีคุณทักษิณเป็นผู้นำ/ ควรจะทำและมีท่าทีอย่างไรกับทั้งสองจำพวกนี้ รวมทั้งควรจะมียุทธศาสตร์ยุทธวิธีด้านต่างๆ อย่างไร เพื่อรักษาดินแดนของประเทศและทำให้สถานการณ์กลับสู่สภาพปกติ ? บทความนี้มี ข้อเสนอแนะ ดังนี้
ต่อ พวกหนอนบ่อนไส้ ภายในประเทศ แบ่งออกเป็นสองประเภทใหญ่ๆ คือ พวกแนวร่วมผู้ก่อการทางการเมือง กับ แนวร่วมผู้ก่อการทางการทหาร โดย แนวร่วมผู้ก่อการทางการเมือง ได้แก่พวกที่เสนอแนวทางสมานฉันท์ โดยไม่มีและไม่คำนึงถึงมาตรการด้านความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่บ้านเมือง อันเนื่องมาแต่ "ลัทธิก่อการร้าย"  ต่อกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ พวกนี้ถือว่าเป็นพวก "ปัจจัยภายในที่ไม่เป็นคุณอย่างยิ่ง" เป็นแนวร่วมทางอ้อม/แนวร่วมมุมกลับ ของ "ผู้ก่อการ" ที่ส่งเสริมสถานการณ์ของภาคใต้ให้ขึ้นสู่ระดับสากล ที่จะถูกแทรกแซงจากองค์กรระหว่างประเทศที่ไม่เป็นคุณต่อประเทศไทยเข้าทาง "ผู้ก่อการ" เร็วยิ่งขึ้น แต่ก็เป็น "คนไทย" ที่เป็นทรัพยากรบุคคลอันมีค่าของประเทศที่ "เกลียด" ผู้นำรัฐบาลและพวกพ้องมากกว่า "ผลประโยชน์ของประเทศในกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้" มากไปหน่อย เท่านั้น ซึ่งต้องให้ความเป็นธรรมต่อผู้คนกลุ่มนี้
เพราะก็ต้องยอมรับกัน  ว่า  รัฐบาลนี้ เป็น รัฐบาล ที่ตะกละตระกราม    ซึ่งสามารถสวาปามสมบัติของประเทศได้อย่างแยบยลและอย่างถูกกฎหมาย(?) ซึ่งใช้ช่องว่างช่องโหว่ของกฎหมาย เข้ามาเล่นแร่แปรธาตุแปรสมบัติของประเทศของรัฐ ไปเป็นของเอกชน สร้างความร่ำรวยอย่างรวดเร็วทันตาเห็น ให้กับกลุ่มพวกของตนกันอย่างมโหฬาร  ท่ามกลางความทุกข์ยากลำเค็ญของประชาชน ที่ต้องอยู่ในภาวะ ข้าวยากหมากแพง ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าน้ำมัน ค่ารถโดยสารประจำทาง ถีบตัวขึ้นอย่างมโหฬาร เช่น ผู้ถือหุ้น ป.ต.ท. รวยเละเทะ ขณะประชาชนอ่วมอรทัยจากการขึ้นราคาน้ำมัน ฯลฯ เช่นนี้เป็นความอกไหม้ไส้ขม ของ ภาคประชาชนที่เป็นห่วงเป็นไยในสถานการณ์บ้านเมืองกันทั่วหน้า ยังไม่นับการทำลายล้างระบบตรวจสอบถ่วงดุล แทรกแซงองค์กรอิสระเสียจนง่อยเปลี้ย ไร้ซึ่งศักยภาพที่จะทำตาม  เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญฉบับใหม่อย่างสิ้นเชิงโดยเฉพาะกรณีของคุณหญิงจารุวรรณ ถือเป็นความหม่นไหม้เจ็บปวดรวดร้าว ของภาคประชาชนที่ห่วงใยประเทศอย่างยิ่ง
ท่าทีต่อแนวร่วม(มุมกลับ) ของ "ผู้ก่อการ" จำพวกนี้ รัฐบาลต้องสัดทัดที่จะใช้หลักการประชาสัมพันธ์/หรือเอาหลักการตลาดที่รัฐบาลนี้ถนัดอยู่แล้ว? มาใช้ก็ได้/ปลุกกระแสให้ได้ ว่า ปัญหาภาคใต้เป็นปัญหาที่ทุกภาคส่วนของประเทศต้องร่วมด้วยช่วยกัน ตามภาระหน้าที่ของตน เช่นนอกจากจะก้มหน้าก้มตาด่ารัฐบาลหรือด่าทักษิณอยู่ลูกเดียว /หรือนำเสนอแต่การสมานฉันท์หรือแนวทางสันติอย่างเลื่อนลอยไม่เป็นรูปธรรม ท่ามกลางสถานการณ์สงครามที่ไม่ประกาศ ซึ่งใช้วิธีการเข่นฆ่าและทำลายล้างอย่างทารุณ โดยเอาโล่ศีลธรรมมาป้องปัดปฏิบัติการทางทหารของรัฐบาล จนเจ้าหน้าที่ทหารตำรวจ ไม่อาจกระทั่งจะรักษาชีวิตของตน จึงยิ่งไม่ต้องพูดถึง การจะดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้ประชาชน/ กันแล้ว พรรคฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ องค์กรเอ็นจีโอ นักวิชาการ สื่อ ฯลฯ ควรมีบทบาทที่เป็นรูปธรรมในสถานการณ์ชายแดนภาคใต้อย่างไร? เป็นต้น
สำหรับ แนวร่วมผู้ก่อการทางการทหาร ได้แก่ ชาวบ้านในพื้นที่-ชาวบ้านมุสลิมมลายู /ที่เป็น "มือ" เป็น "เท้า" เป็น "เกราะกำบัง" ที่ลงมือปฏิบัติการก่อความรุนแรงของ "ผู้ก่อการ" นั้น ต้องเข้าใจว่า เพราะ ประชากรในพื้นที่นี้ มีความเกี่ยวพันธุ์ทั้งทางสายเลือดและทางสังคมเศรษฐกิจการเมืองการศาสนา คาบเกี่ยวกับประชากรของประเทศเพื่อนบ้าน และยังเป็นพื้นที่ที่เป็นฐานเสียงของพรรคฝ่ายค้านของรัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน ที่ประเทศไทยต้องทำความเข้าใจ ถึงความแตกต่างของพื้นที่นี้ กับพื้นที่อื่นของประเทศเพื่อนบ้านโดยเฉพาะ ซึ่งก็คือ พื้นที่ละแวกนี้ เป็นอิทธิพลของพวกมุสลิมที่มีเป้าหมายอยู่ที่การพยายามจะ "สถาปนารัฐศาสนา/รัฐอิสลาม" โดยเป็นเขตเคลื่อนไหวของมุสลิมสายกลางค่อนไปทางรุนแรง และก็มีพวกสายรุนแรงเคลื่อนไหวอยู่ได้ด้วยการสนับสนุนอย่างไม่เป็นทางการ เอื้อให้พวกลัทธิอิสลามก่อการร้ายได้ใช้เป็นแหล่งกบดาน/แหล่งพักพิง เพื่อเข้าไปจุดไฟก่อสถานการณ์ในพื้นที่เป้าหมายบ้านใกล้เรือนเคียง โดยมี คนมุสลิมมลายู ในพื้นที่เป้าหมายเป็น "มือ" เป็น "เท้า" เป็น "เกราะกำบัง" ให้ลงมือปฏิบัติการก่อความรุนแรง ด้วยเหตุนี้ประชากรมุสลิมมลายูในพื้นที่ชายแดนสามถึงห้าจังหวัดภาคใต้ของประเทศไทย จึงเป็นเป้าหมาย "การเคลื่อนไหว" ของ พวกมุสลิมสายรุนแรง อย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยงเพราะมีความเกี่ยวพันกันทางเชื้อชาติศาสนาเศรษฐกิจการเมืองดังกล่าว ทั้งยังสั่งสมความขัดแย้งมาแต่ครั้งประวัติศาสตร์จนปัจจุบัน อันเป็น "เชื้อไฟ" อย่างดีที่ พวกมุสลิมสายรุนแรง จะโหมกระพือให้ลุกโชนขึ้นได้ไม่ยาก ซึ่งเมื่อสถานการณ์คลี่คลายขยายตัวก็บ่งชี้ให้เห็นได้ถึงว่า มีการเคลื่อนไหวตามอุดมการณ์ของ พวกมุสลิมสายรุนแรง เป็นขบวนการที่ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ดังได้กล่าวแล้วข้างต้น โดย ที่น่าวิตกเป็นอย่างยิ่ง ก็คือ การที่ประชาชนคนไทยในประเทศในหลายภาคส่วนยังไม่ได้ตระหนักกัน ว่า สถานการณ์ที่ผู้คนถูกเข่นฆ่าล้มตายลงทุกวันเช่นนี้ เป็นสถานการณ์ไม่ปกติ เป็นสถานการณ์สงครามนอกรูปแบบที่ไม่ประกาศ ที่ไม่สามารถจะเอาหลักการในสภาวะปกติมาใช้ได้ และในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ เป็นสภาวการณ์ที่ต้องคิดมาตรการ และ หลักกฎหมายหลักกฎหมายสงครามกองโจร-มีแล้วยัง? ขึ้นมาใช้อย่างเฉพาะเจาะจง
ถามว่า ท่าทีต่อแนวร่วมที่เป็น พวกหนอนบ่อนไส้กับ พวกตีท้ายครัว ทั้ง ๒ จำพวกนี้  คือ อย่างไร?ตอบว่า จำพวก พวกหนอนบ่อนไส้ ที่เป็น ชาวบ้านในพื้นที่-ชาวบ้านมุสลิมมลายู /ที่เป็น "มือ" เป็น "เท้า" เป็น "เกราะกำบัง" ที่ลงมือปฏิบัติการก่อความรุนแรงของ "ผู้ก่อการ" นั้น ก็ต้องยืนอยู่บน หลักการของ การกดดัน ทั้ง ทางการเมือง และ ทางการทหาร ให้ "ยอมจำนนและยุติการก่อการอย่างไม่มีเงื่อนไข" สำหรับ พวกตีท้ายครัว ก็จะต้องสรุปบทเรียนจากเรื่องเขาพระวิหารในอดีต ที่ต้องสูญเสียไปเพราะเปิดโอกาสให้องค์การระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซง หรือใกล้ๆ นี่ก็กรณีอาเจะห์ของอินโดฯ ที่เมื่อเปิดช่องให้องค์การระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซงแล้ว ไม่เคยเกิดผลดีต่อประเทศที่จะถูกเฉือนดินแดน ด้านหนึ่ง จึงจะต้องดำเนินการทางการทูตให้เป็นเรื่องภายในประเทศ และให้เป็นเพียงการขอ "ความร่วมมือ" ระหว่าง ๒ ประเทศ เพื่อจัดการกับ ปัญหาภายในของประเทศไทยที่มี "คน"  ที่อาศัยแผ่นดินของประเทศเพื่อนบ้านเป็นที่พักพิง เท่านั้น รวมทั้งการเคลื่อนไหวทางการทูตเพื่อการโดดเดี่ยว พวกมุสลิมสายรุนแรง ในทางสากล อีกด้านหนึ่ง ก็จะต้อง"สร้าง" องค์กรภาคประชาชนภายในประเทศขึ้นมาเคลื่อนไหวต่อกรตอบโต้ กับ การเคลื่อนไหวของภาคประชาชนของประเทศเพื่อนบ้านให้ทัดเทียมและเท่าทันกัน ทั้งหน่วยจรยุทธ-ชุดรักษาความปลอดภัยภาคประชาชนที่มีอุดมการณ์ซึ่งสุดโต่งทัดเทียมกัน /ถ้าจำเป็นก็อาจต้องฟื้นฟู องค์กรลูกเสือชาวบ้าน-กระทิงแดง-กระทิงดำ ทั้งโดยเปิดเผยและอย่างปิดลับ/  ขึ้นมาเคลื่อนไหวเป็นหูเป็นตาและปกป้อง "ชาวบ้าน" ในพื้นที่ และด้วยเหตุด้วยผลทุกประการทั้งปวงข้างต้น บทความนี้    จึงใคร่ขอเสนอแนะ ต่อภาครัฐบาลและ ต่อภาคประชาชน ด้วยกัน ถึงแนวทางการดำเนินการด้านต่างๆ เพื่อ "ดับไฟใต้"   ดังนี้
ข้อเสนอต่อรัฐบาล:
  1. การดำเนินการทางการทูต
    ด้วยเพราะ การก่อการของพวกก่อการมุสลิมสายรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย มีประเทศเพื่อนบ้านเป็นหลังพิง มีองค์กรอิสลามระดับสากลหนุนช่วยอย่างแน่นอน ยุทธศาสตร์ทางด้านการทูตจึงต้องเป็นการทูตเพื่อโดดเดี่ยว "ผู้ก่อการ" ในทางสากล โดยพุ่งเป้าไปที่การทลายหลังพิงและตัดการช่วยเหลือทั้งมวลจากต่างประเทศ ซึ่งจะมีการทูตอยู่สามระดับ คือ ระดับประเทศเพื่อนบ้าน ระดับภูมิภาคและระดับสากล โดยในระดับประเทศเพื่อนบ้าน ระหว่าง รัฐบาลไทยกับรัฐบาลมาเลเซีย นั้น จะต้องเป็นการเจรจาให้รัฐบาลมาเลเซีย    ๑/ บีบให้รัฐกลันตันเลิกเป็นหลังพิงให้ "ผู้ก่อการ"   หรือ มีมาตรการให้ทำได้ยากลำบากขึ้น เช่น แลกเปลี่ยนข่าว กรองความเคลื่อนไหวของ "ตัวบงการ"/และ แกนนำผู้สนับสนุนขบวนการแบ่งแยกดินแดน กับ ฝ่ายความมั่นคง ของ รัฐบาลประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเฉพาะกับมาเลเซีย-ก็อย่างที่บอก-ต้องดำเนินการทางการทูตให้เป็น เรื่องภายในประเทศ และ ให้เป็นเพียงการขอ "ความร่วมมือ" ระหว่าง ๒ ประเทศเพื่อจัดการกับ ปัญหาภายในของประเทศไทยที่มี "คน"  ที่อาศัยแผ่นดินของประเทศเพื่อนบ้านเป็นที่พักพิง เท่านั้น๒/ให้รัฐบาลมาเลเซียส่งข้อมูลเรื่อง "คนถือสองสัญชาติไทย-มาเลย์" ให้ไทย ๓/ เน้นให้รัฐบาลมาเลย์ปฏิบัติตามข้อตกลงการส่งผู้ร้ายข้ามแดนอย่างไม่มีเงื่อนไข ฯลฯ ทั้งนี้ กระทรวงการต่างประเทศของไทยจะต้องรู้จักที่จะใช้ "วาทะกรรมทางการทูตที่ชาญฉลาด ไม่อ่อนหัด" ในการที่จะชี้ให้มาเลย์เซียและประชาคมโลกเห็นว่า ประเทศมาเลเซียเป็นหลังพิงให้กับ "ผู้ก่อการ" ที่ก่อเหตุในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ถ้ายุติพฤติการณ์เช่นนี้ของประเทศมาเลเซียได้ และให้มาเลย์เซียหันมาร่วมมือกับประเทศไทยในการ "จำกัด" หรือปราบปราม การเคลื่อนไหวของมุสลิมสายรุนแรง โดยไม่ดำเนิน "นโยบายการทูตแบบสองหน้าที่ไม่จริงใจกับมิตรประเทศ" อย่างประเทศไทย สถานการณ์ไฟใต้ก็สามารถแก้ปัญหาได้อย่างเบ็ดเสร็จ เช่นเดียวกับที่ ประเทศไทยเคยให้ความร่วมมือกับประเทศมาเลย์เซีย ในการ "จัดการ" กับ การต่อสู้ด้วยกำลังอาวุธของพรรคคอมมิวนิสต์จีนมาเลย์เซีย
    ส่วน ในระดับภูมิภาค กับรัฐบาลของประเทศมุสลิมอื่นๆ อย่างเช่น ประเทศอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ หรือแม้กระทั่งประเทศเขมรที่มีกลุ่มมุสลิมอยู่ด้วย นั้น รัฐบาลไทยต้องสันทัดที่จะใช้ วิถีทางทางการทูต เจรจาให้รัฐบาลประเทศเหล่านี้ มีปฎิญญาและมาตรการร่วมกันที่จะร่วมกัน "ต่อต้านการก่อการร้าย" ทุกรูปแบบ และสำหรับ ในระดับสากล/ในระดับโลก นั้น ต้องเคลื่อนไหว ให้ มุสลิมสายกลาง ใน องค์กรมุสลิมโลก ต่อต้านมุสลิมสายรุนแรง /โดยเฉพาะในไทย/ เพราะในที่สุด มุสลิมสายรุนแรง จะไม่เป็นภัยแก่ความเชื่ออื่นๆ เท่านั้น แต่จะเป็นภัยต่อมุสลิมสายกลาง เองอีกด้วย เพราะก็จะเห็นได้ว่า ในประเทศที่เป็นมุสลิมเอง มุสลิมสายรุนแรง ก็ยังก่อสงครามกลางเมืองเข่นฆ่ามุสลิมสายกลาง ที่จนแม้ ประเทศมุสลิมเองหลายประเทศ ก็ยังต้องปราบปรามพวกมุสลิมสายรุนแรง อย่างรุนแรงจนราบคาบ จนพวกนี้ต้องหนีออกจากประเทศของตัวเองไป "ตั้งฐาน" อยู่ในประเทศอื่นเพื่อเข้าไปก่อการในประเทศที่มีกลุ่มมุสลิมอยู่ในพื้นที่ที่ล้าหลัง นอกจากนี้ยังต้องผลักดันและกดดันให้ กลุ่ม หรือ องค์กรมุสลิมสายกลางภายในประเทศ มีบทบาทในการเคลื่อนไหวสนับสนุนและขานรับ การเคลื่อนไหวทางการทูตดังกล่าวของรัฐบาล รวมทั้งต้องจัดตั้งองค์กรภาคประชาชน ว้คอยตอบโต้ การเคลื่อนไหวที่ส่อไปในทางแทรกแซงกิจการภายในของไทย โดยองค์กรภาคประชาชนของต่างประเทศ เช่น มีกลุ่มประชาชนของมาเลย์ไปประท้วงไทย ที่หน้าสถานทูตไทยในมาเลย์ ก็มีกลุ่มคนไทยไปประท้วงมาเลย์  ที่หน้าสถานทูตมาเลย์ในไทยในประเด็นเดียวกัน เป็นต้น รวมทั้ง ที่สำคัญที่สุด ก็คือในทุกระดับของวาทกรรมทางการทูต ต้องดำเนินการให้เป็นที่ประจักษ์ แก่ทุกประเทศที่เป็นอิสลามว่าประเทศไทย ไม่มีการกีดกันทางศาสนา  โดยเฉพาะศาสนาอิสลามที่มุสลิมมีสิทธิในการปฏิบัติศาสนกิจอย่างเต็มที่ ยิ่งเสียกว่าบางประเทศที่อ้างว่าเป็นประเทศอิสลามเสียอีก

  2. การดำเนินการทางกฎหมาย/มาตรการทางการเมือง
ต่อ พวกหนอนบ่อนไส้ ประเภท แนวร่วมมุมกลับทางการเมือง ของ "ผู้ก่อการ" ที่เป็น ชนชั้นกลางฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล-ฝ่ายค้าน-กระทั่งฝ่ายแค้นรัฐบาล เช่น พวกที่ได้ชื่อว่า "ขาประจำ" พวก NGOพวกนักสิทธิมนุษยชน พวกสื่อสารมวลชน พวกนักวิชาการฝ่ายซ้ายทั้งเก่าแลใหม่ พวกนักอนุรักษ์นิยมฝ่ายค้านรัฐบาล ฯลฯ ที่มักจะพูดหรือเขียนในเชิงให้ท้ายหรือในเชิงชักนำ เปิดทางให้องค์กรระหว่างประเทศเข้ามาแทรกแซง ทำนองนำพาสถานการณ์ให้ขึ้นสู่โต๊ะเจรจาระดับสากลเข้าทาง "ผู้ก่อการ" นั้นรัฐบาลต้องพิจารณาสิ่งที่กลุ่มนี้ไม่พอใจ เช่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ การแทรกแซงครอบงำซื่อ การผันงบประมาณแผ่นดินไปเป็น "รายได้" ของบริษัทในเครือ ของ ตระกูลพ่อตระกูลแม่ของผู้นำคณะรัฐบาลและรัฐมนตรีในคณะ /ดังกรณีให้พม่ากู้เงินสี่พันล้านและอีกหลายกรณี/ การแทรกแซงองค์กรอิสระ ฯลฯ[เฉพาะ การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ นั้น บทเรียนจากการแปรรูป ป.ต.ท. ทำให้ประชาชนประจักษ์ชัด ว่า เมื่อแปรรูปไปเป็นของเอกชนแล้ว ผู้ได้ประโยชน์สูงสุด ก็คือ เอกชนผู้ถือหุ้นจำนวนหยิบมือหนึ่ง หาใช่ประชาชนไม่ ที่ได้กำไรบรรลัยในขณะที่ประชาชนต้องจ่ายค่าน้ำมันแพงบรรลัย ซึ่งเป็นการปล้นชาติปล้นประชาชนอย่างหน้าด้านๆและทารุณโหดร้าย ทำให้ ชนชั้นกลางฝ่ายตรงข้ามรัฐบาล-ฝ่ายค้าน-กระทั่งฝ่ายแค้นรัฐบาล /ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีการศึกษาสูง สามารถเข้าใจระบบสังคมเศรษฐกิจที่ซับซ้อนมองออกและวิเคราะห์อะไรออก/ มีความรู้สึกว่า รัฐบาลนี้ช่างชั่วช้าชั่วชาติไม่แตกต่างไปจาก พวกมุสลิมสายรุนแรงแบ่งแยกดินแดนที่ก่อการอยู่ในภาคใต้เท่าใดนัก จึงเสนอแนะว่า รัฐบาลควรจะกลับลำเลิกแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่เป็นกิจการสาธารณูปโภค อันเป็นกิจการผูกขาดทั้งหมด เฉพาะหน้าก็คือ ยกเลิกการแปรรูป ก.ฟ.ผ.! แต่ให้มีมาตรการทั้งทางกฎหมายและทางการบริหารจัดการให้ ก.ฟ.ผ. มีการทำงานที่มีประสิทธิภาพ กำกับการทำงานของคณะกรรมการและเจ้าหน้าที่ ก.ฟ.ผ. เพื่อประโยชน์สูงสุกของประชาชนแทนในประเด็นความไม่พอใจในเรื่องดังที่ได้ยกตัวอย่างดังกล่าว รัฐบาลต้องแก้ไข กลับลำ  หรือยอมตามบ้าง เพราะนอกจากจะเป็นคุณูปการต่อประเทศชาติและประชาชนอย่างมหาศาลแล้ว ก็ยังจะปิดปาก พวกหนอนบ่อนไส้ประเภทนี้ไม่ไห้ วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลอย่างเสียๆ หายๆ อันเป็นการลดความน่าเชื่อถือของรัฐบาล/รัฐไทย เข้าทาง "ผู้ก่อการ" ไฟใต้ อีกด้วย
ต่อ พวกหนอนบ่อนไส้ จำพวก แนวร่วมทางการทหาร ที่เป็น ชาวบ้านมุสลิมมลายูแนวร่วม "ผู้ก่อการ" ในพื้นที่ ซึ่ง เป็น "มือ" เป็น "เท้า" เป็น "เกราะกำบัง" ที่ลงมือปฏิบัติการ เป็นผู้ก่อความรุนแรงให้ "ผู้ก่อการ" นั้น เกี่ยวกับ มาตรการทางกฎหมายแล้วก็ต้องไม่ลืมว่า พวกนี้ปะปนอยู่กับ ประชาชนคนไทยพุทธและคนไทยมุสลิม ทั้ง ประชาชนที่เป็นคนธรรมดา และ ประชาชนที่เป็นเจ้าหน้าที่เป็นแขนเป็นขาเป็นมือเป็นเท้าเป็นหูเป็นตาเป็นฝ่ายเดียวกับรัฐบาล ที่เป็นเป้าของการเข่นฆ่าทำลายล้างของ "ผู้ก่อการ" ด้วย โดยที่รัฐบาลยังไม่มีวิธีการหรือมาตรการที่จะแยกกลุ่ม/บุคคลที่ก่อการออกมาได้ บทความนี้มีความเห็นว่า มาตรการทางกฎหมายที่จะแยกเอาบุคคล/กลุ่มผู้ก่อการออกมาได้นั้น มีแต่ มาตรการที่ต้องเอา กระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์อย่างเข้มงวด  /โดยเฉพาะการพิสูจน์ DNA/   ภายใต้การนำทีมของบุคคลอันเป็นที่เชื่อถือของสังคม /จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคุณหญิงหมอพรทิพย์/เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ กระบวนการยุติธรรม ต่อคดีที่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในภาคใต้ทุกคดี โดยตั้งทีมจากส่วนกลางขึ้นมาทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ในพื้นที่ โดยเน้นที่การมีมาตรการในการจัดเก็บหลักฐานในที่เกิดเหตุอย่างเข้มงวด
ทั้งเพราะ มีข้อเท็จจริง ที่สำคัญมากที่ต้องพิจารณาไม่ว่าจะจริงหรือไม่ ก็คือ ประเด็นที่มีผู้วิเคราะห์ว่า มี "ผู้ก่อการ" ในคราบ "เจ้าหน้าที่รัฐ-เจ้าหน้าที่บ้านเมือง" ที่วิพากษ์วิจารณ์กันว่า จะเป็นพวกเส้นสาย หรือมือเท้า ที่มี "พลังอำนาจ" ของ ฝ่ายที่เสียอำนาจเสียผลประโยชน์อันเคยมีเคยได้ ที่ต้องการ"สร้างสถานการณ์" เพื่อโค่นรัฐบาลทักษิณ เป็น "พลังอำนาจ" ที่ทำให้รัฐบาลทักษิณอยู่ในสภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก หรือแม้แต่จะแอะออกมาได้ ซึ่งทำให้รัฐบาลทักษิณไม่สามารถจะจัดการกับ "ผู้ก่อการ" ในคราบ "เจ้าหน้าที่รัฐ-เจ้าหน้าที่บ้านเมือง" นี้ได้ / ดังกรณี "มือยิง" โต๊ะครูที่บ้านละหาน ลูกชายโต๊ะครูที่ถูกสังหารซึ่งประคองพ่อก่อนสิ้นใจก็รู้ว่าเป็นใคร(?)-อย่างไรก็ดีกรณีนี้ก็ยังเป็นเคลือบแคลง ว่า อิหม่ามตายจริงหรือเปล่า? เพราะไม่มีการชันสูตรศพหลังการตาย(?) / และชาวบ้านเองก็ตระหนักว่า ไม่ว่าจะพูดอย่างไร รัฐบาลทักษิณก็ประกันความปลอดภัยของชาวบ้านจาก "ผู้ก่อการ" ในคราบ "เจ้าหน้าที่รัฐ-เจ้าหน้าที่บ้านเมือง" ไม่ได้ ชาวบ้านจึงไม่กล้าพูดไม่กล้าเป็นพยานบุคคล รวมทั้งกรณีกรือแซะที่พล.เอก ชวลิต ผู้บังคับบัญชาสายตรงสั่งการทางโทรศัพท์ ไม่ให้ฆ่า แต่ผู้ปฏิบัติใต้บังคับบัญชา ก็ยังดันทุรังกวาดฆ่าเรียบมัสยิด แบบไม่ให้เหลือใครในทีมผู้ก่อการให้สอบปากคำได้เลยแม้สักคนเดียว! ซึ่งทำให้ชาวบ้าน "รู้เช่นเห็นชาติ" ตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่ากรณีภาคใต้รัฐบาลทักษิณ ไม่มีปัญญาจะ บังคับบัญชาภาคปฏิบัติของตนเอง /คือ ข้าราชการประจำทั้งในระดับพื้นที่และในระดับบังคับบัญชากำลังพลจาก กทม./ ให้ปฏิบัติการ เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ทั้งของประชาชนและของทางราชการในยามวิกฤติหรือในยามหน้าสิ่วหน้าขวานได้
มาตรการทางกระบวนการยุติธรรม หรือ ก็คือกระบวนการบังคับใช้กฎหมาย  ที่นำเอากระบวนการทางนิติวิทยาศาสตร์เข้าใช้อย่างเข้มงวด หากรัฐบาลตัดสินใจเด็ดขาดที่จะทำโดยไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม ก็จะเหมือนใช้กระสุนนัดเดียว ยิงนกได้ทั้งฝูง เพราะจะทำให้ได้หลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ยืนยันตัวผู้ก่อการ ณ พื้นที่ได้จริงๆ ด้านหนึ่ง ชาวบ้านเองก็จะมั่นใจว่า ถ้าพวกเขาถูกเหวี่ยงแหจับทั้งที่ไม่ผิดเขาก็อาจจะรอดในขั้นตอนการสอบสวน ที่เป็นกระบวนการทางการพิสูจน์หาหลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์ /ไม่ใช่กระบวนการโมเมชั่นซัดทอดคาดเอาหรือซ้อมเอาหรือเพียง "หลักฐานแวดล้อม"/ อีก ด้านหนึ่ง หากหลักฐานบ่งชี้ไปที่ "ผู้ก่อการ" ในคราบ "เจ้าหน้าที่รัฐ-เจ้าหน้าที่บ้านเมือง" รัฐบาลก็จะได้ตัดมือตัดเท้า ของพวก "พลังอำนาจ" ฝ่ายตรงข้ามที่ต้องการโค่นล้มรัฐบาลที่อยู่เบื้อหลัง "ผู้ก่อการ" ในคราบ "เจ้าหน้าที่รัฐ-เจ้าหน้าที่บ้านเมือง" พวกนี้ด้วย /หรืออย่างน้อยก็มี "หลักฐานที่เป็นวิทยาศาสตร์" ที่จะต่อรองให้พวกเขายุติพฤติการณ์การก่อการเสีย เพราะบางทีอาจจะต้องรูปหน้าปะจมูก/ อีกทั้ง ประเทศเพื่อนบ้านที่กำลัง "ตีท้ายครัว" ประเทศไทย ซึ่งหัวโจกพวกก่อการที่ต้องการแบ่งแยกดินแดน ใช้เป็นที่กบดาน ก็จะไม่มีข้ออ้างเรื่องมาตรการทางกฎหมายของไทยด้วย
นอกจากนี้ รัฐบาลก็จะต้องมีมาตรการทางกฎหมายในอันที่จะควบคุม ยุทธปัจจัย และการเคลื่อนไหวของประชาชนในกิจกรรมที่ส่อไปในทางที่จะใช้ในการก่อการได้ เช่น มือถือ วิทยุสื่อสาร เกลือ แบตเตอรี่-ถ่านไฟฉาย การเข้าออกชายแดน การเดินทางในยามวิกาล การพกบัตรประชาชนแสดงตัว การถือสองสัญชาติ ฯลฯ โดยให้มีการบังคับใช้มาตรการทางกฎหมายดังนี้ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ อย่างเข้มงวดกวดขัน
เกี่ยวกับ มาตรการทางการเมือง หรือ มาตรการทางด้านจิตวิทยา ที่รัฐบาลต้องกำหนดเป้าหมายที่จะบรรลุให้แจ่มชัด ซึ่งบทความนี้ มีความเห็นว่า มีเป้าหมายที่จะต้องบรรลุให้ได้อยู่ ๒ เป้าหมายไม่เช่นนั้น ก็ช่วงชิงประชาชนจากฝ่ายตรงข้ามไม่ได้ ประเด็น คือ มันมีฝ่ายตรงข้ามที่ซ้ำซ้อนกันอยู่ คือ ฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทักษิณ กับ ฝ่ายตรงข้ามประเทศไทยโดยฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทักษิณ /หนอนบ่อนไส้อีกจำพวกหนึ่ง จำพวก "ผู้ก่อการ" ในคราบเจ้าหน้าที่รัฐ / ที่อาจเป็นมูลเหตุของความเชื่อของชาวบ้าน ที่ว่า "ทหารตำรวจและเจ้าหน้าที่" ก่อการอุ้มฆ่าชาวบ้าน ทำให้ชาวบ้าน "กลัว" และ ไม่ไว้วางใจ "ทหาร" เมื่อเป็นเช่นนี้ เป้าหมาย ของ มาตรการทางการเมืองหรือมาตรการด้านจิตวิทยา ที่ต้องบรรลุ     ก็คือ   ความไว้วางใจ  โดยจัดทำเอกสารเผยแพร่และหรือประชาสัมพันธ์ด้านลึกและด้านกว้าง ให้ชาวบ้านเห็นว่า ทางการไทยทหารไทย มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะอดทนอดกลั้นต่อการใช้ความรุนแรงขึ้นมากเพียงไร /เช่น โดยการขยายผลเหตุการณ์ที่ตันหยงลิมอร์ หรือ ขยายผลตัวอย่างการทำงานที่ประสานกันได้ดีอย่างทหารพัฒนากับชาวบ้านที่ควนโนรี ฯลฯ/ ส่วนกรณีกรือแซะตากใบบอก เป็นกระบวนการทางศาลที่ยาวนานซึ่งก็ต้องค่อยๆ ทำกันไป โดยชาวบ้านต้องให้ความร่วมมือเป็นพยาน ส่วน ฝ่ายตรงข้ามประเทศไทย พวกนี้คือ พวกหนอนบ่อนไส้จำพวก ชาวบ้านมุสลิมมลายูแนวร่วม "ผู้ก่อการ" ในพื้นที่ พวกต้องการแบ่งแยกดินแดน ซึ่ง เป็น "มือ" เป็น "เท้า" เป็น "เกราะกำบัง" ที่ลงมือปฏิบัติการ สำหรับพวกนี้ เป้าหมาย ของ มาตรการทางการเมืองหรือมาตรการด้านจิตวิทยา ที่ต้องบรรลุ ก็คือการล้างสมอง ด้วยวิธีหนามหยอกเอาหนามบ่ง พวกนี้จะถูกชักจูงทางความคิดให้ก่อการได้ด้วยความคิดหลักๆ อยู่ ๑/ ศาสนา ๒/ประวัติศาสตร์บางตอน  ก็ต้องสร้างระบบคิดที่ใช้หลักการทางศาสนาและประวัติศาสตร์ชุดหนึ่ง ออกมาตีโต้กับระบบคิดของ "ผู้ก่อการ" ที่เป็นพวกแบ่งแยกดินแดน ขึ้นมาเป็นเครื่องมือ ในการดำเนินมาตรการทางการเมืองและมาตรการทางจิตวิทยา โดยมีโทนของความภาคภูมิในวิถีการดำเนินชีวิตตามวัฒนธรรมประเพณีที่สงบและสันติอย่างที่เคยเป็นมา และ ที่สำคัญต้องทำเป็นภาษามลายูและต้องใช้เทคนิคการใช้ภาษาที่ให้เกิดการตั้งคำถาม ในหมู่พวกที่เป็นมือเป็นเท้าของพวกมุสลิมมลายู-ปาตานีอะไรนั่นให้ได้ ว่าสิ่งที่พวกนั้นสั่งหรือฝังหัว/มอบหมายภารกิจให้พวกเขานั้นถูกจริงหรือ? ประวัติศาสตร์ปาตานีรายาที่พวกเขากล่าวอ้างนั้นจริงหรือ? การสั่งให้ไปฆ่าคนทำลายสิ่งปลูกสร้าง ฆ่านักบวชในศาสนาอื่น ฯลฯ เป็นพระประสงค์ของอัลเลาะห์จริงหรือ? ถ้าเป็นมันถูกต้องหรือ? ฯลฯ  และ เน้นชี้ให้เห็นถึงจุดด่างพร้อยของศาสนาอิสลาม โดยการกระทำของพวกมุสลิมสายรุนแรง ซึ่งเป็นกลุ่มคนส่วนน้อยของมุสลิมในประเทศไทยและในโลก ที่ทำลายภาพพจน์ของศาสนาอิสลาม โดยการเข่นฆ่าอย่างไร้มนุษยธรรมที่มุสลิมที่ดีต้องคัดค้าน ไม่เอาเยี่ยงอย่าง
นี่เป็นมาตรการเฉพาะหน้า ส่วนมาตรการระยะยาว ทุกกระทรวงทบวงกรม กำลังทำกำลังพัฒนาฯ กันอยู่ โดยเฉพาะกระทรวงศึกษาฯ  ต้องไม่ปล่อยให้การปลูกฝังประชากรมุสลิมในวัยเรียนเป็นแต่เรื่องศาสนาเท่านั้น ต้องไม่ให้มีโรงเรียนที่สอนแต่ศาสนาอย่างเดียวเด็ดขาด ต้องแปลงเป็นโรงเรียนหรือสถานศึกษาที่บูรณาการสายสามัญเข้าไปด้วย โดยเฉพาะเรื่องภาษานั้น ภาษาไทย ภาษามลายู ภาษาอังกฤษ ภาษาจีน ต้องเปิดเรียนเปิดสอนกันให้ระเบิดเทิดเทิงไปเลย เพราะภาษาเป็นเครื่องมือในการสื่อสารไทยพุทธเรียนภาษามลายู ไทยมลายูเรียนภาษาไทยกลาง ข้าราชการไทยในภาคใต้ต้องรู้ภาษามลายู-อังกฤษ และภาษาปักษ์ใต้ ฯลฯ.......ที่สำคัญ ในระยะยาวทำอย่างไร การศึกษาที่เป็นตัวของตัวเอง จะทำให้มุสลิมไทยเชื้อสายมลายู มีความรู้สึกเป้นอันหนึ่งอันเดียวกับ "ประเทศไทย" เช่นเดียวกับมุสลิมไทยเชื้อสายอื่นๆ ? มีลักษณะเฉพาะหรือความเป็น"อัตตลักษณ์" ของการเป็น "มุสลิมไทย" /"มุสลิมมลายูไทย" [ตรงนี้คงต้องค้นคว้าศึกษาวิจัยกันละว่า มันคืออะไร อย่างไร ทั้งนามธรรมรูปธรรมจะมีเนื้อหาอย่างไร? และจะแปรลงสู่ภาคปฏิบัติอย่างไร?]
  1. การดำเนินการทางทหาร
เกี่ยวกับ การดำเนินการทางทหาร มีประเด็นที่ต้องทำความเข้าใจให้ "ชัดเจน" กันก่อน ก็คือ ประเด็นแรก ต้องเข้าใจ ว่า การดำเนินมาตรการการทางทหาร ในทางกฎหมายต้องเป็นการดำเนินการโดยทหาร เพราะทหารมีภาระหน้าที่สำคัญหลัก ๆ ในการ   ๑/ รักษาดินแดน ๒/ รักษาความมั่นคงแห่งระบอบการปกครองที่ดำรงอยู่ ณ ขณะเวลานั้น ๆ ซึ่งเป็นการปกครองบนการยอมรับ ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติของพลเมือง ๓/ รักษาอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน ดังนั้น "อะไร" ที่กระทำต่อดินแดน ต่อความมั่นคง และต่ออำนาจอธิปไตย  เป็นภาระและหน้าที่ที่ทหารจะต้อง "รับผิดชอบ" เข้าไป "จัดการ" ด้วยมาถึง ณ วันนี้ เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า "ผู้ก่อการ" หลักๆ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ นั้น ๑/ มุ่งหวังต่อดินแดน/เพื่อแบ่งแยกออกไป ๒/ ทำลายความมั่นคง ของ ระบอบการปกครองของประเทศ ในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ และ ๓/ บ่อนทำลายอำนาจอธิปไตย ของประเทศ ซึ่งจะเห็นได้ชัดในกรณีที่ "ชาวบ้าน" โดยการปลุกระดมและการชี้นำ ของ "ผู้ก่อการ" ในคราบ "ชาวบ้าน" ให้ชาวบ้านก่อม๊อบขวางการเข้าปฏิบัติหน้าที่ ในหมู่บ้านละหารและหมู่บ้านตันหยงลิมอร์ของเจ้าหน้าที่รัฐ โดย "ผู้ก่อการ" และ "แนวร่วมผู้ก่อการ" ได้มีปฏิบัติการที่รุนแรงขึ้นเป็นลำดับ ประเด็นต่อมาในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่ได้มีแต่คนไทยมุสลิมเชื้อสายมลายูเท่านั้น แต่ยังมีคนไทยพุทธ มีกลุ่มธุรกิจ ที่ในสถานการณ์เช่นนี้ลำพังกำลังตำรวจ และฝ่ายปกครองในพื้นที่ไม่เพียงพอ เพราะไม่ได้เป็นการประทุษร้ายที่บุคคลกระทำต่อบุคคลด้วยกันที่จะถือเป็นคดีอาญาธรรมดา ในความรับผิดชอบของตำรวจและหน่วยงานด้านกระบวนการยุติธรรมปกติบรรดามีอยู่ในพื้นที่เท่านั้น แต่เป็นการประทุษร้ายที่บุคคลหรือกลุ่มบุคคลกระทำต่อบุคคลซึ่งมุ่งหวังผลต่อรัฐต่อประเทศ อันเป็นภาระหน้าที่ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบโดยตรงของทหาร จึง เป็น "ความชอบธรรม" ด้วยประการทั้งปวงที่รัฐบาลจะต้องคงกองกำลังทหาร/กองทัพ และหรือส่งกำลังพลเพิ่มเติมถ้าจำเป็นเข้าไปอยู่ในพื้นที่ เพื่อ "ปฏิบัติการ" ตามหน้าที่ความรับผิดชอบอยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้การเรียกร้องให้รัฐบาลถอนทหารออกไปจากพื้นที่ จึงเป็นการเรียกร้องที่มีนัยแฝงเร้น เป็นข้อเรียกร้องที่ไม่มีความชอบธรรม ประเด็นสุดท้าย ที่ต้องทำความเข้าใจกันให้ชัดเจนเป็นสำคัญ    ก็คือ มาตรการทางทหาร   เป็นมาตรการที่ต้องใช้ความรุนแรงเด็ดขาดฉับไวถึงเลือดถึงเนื้อ   ที่ทหารระดับผู้ปฏิบัติการ  อาจจะต้องตกอยู่ในระหว่างความเป็นความตายเท่ากัน อันเป็นมาตรการที่จะนำมาใช้ได้ก็ต่อเมื่ออยู่สถานการณ์ "สงคราม" เท่านั้น ถามว่า สถานะสถานการณ์ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้อยู่ในสถานะสงครามหรือไม่? แล้วยัง?  ตอบว่า ณ วันนี้ (23 ตุลาคม 2548) สถานการณ์ในสามจังหวัดอยู่ใน สถานะ "สงคราม" แล้ว เป็นสงครามย่อยในกระแสสงครามของโลกยุคใหม่ "ยุคสงครามก่อการร้าย"ที่คู่สัปยุทธหลัก คือ ทุนนิยมอเมริกา กับ มุสลิมสายรุนแรง ที่ต้องมีการปรับสมรรถนะของกำลังพลกันใหม่ให้สอดคล้องกับรูปแบบของสงครามยุคใหม่นี้ นั่นคือ รูปแบบ "สงครามกองโจร"
จะกำหนดมาตรการทางทหาร ไปต่อกรกับฝ่ายตรงข้ามใน "สงครามกองโจร" ยุคนี้ โดยเฉพาะที่กำลังดำเนินอยู่ในภาคใต้นั้น ทางฝ่ายยุทธวิธีของรัฐบาล(?/ไม่ทราบตรงนี้เป็นหน้าที่ของหน่วยงานไหน?) จะต้องพิจารณารูปแบบของยุทธวิธีที่ฝ่ายตรงข้ามใช้ให้ถ่องแท้ก่อนแล้วเอามาเปรียบเทียบกับรูปแบบยุทธวิธีที่ทางฝ่ายยุทธวิธีของรัฐบาลใช้ และ จะต้อง ปฏิวัติหลักสูตรทั้งระยะสั้นระยะยาวของการเรียนการสอนและการฝึกกำลังพลกันอย่างขนานใหญ่ ให้มีศักยภาพที่จะสู้รบในสงครามยุคใหม่ของกระแสสงครามของโลกยุคใหม่ นั่นคือ   ยุคสงครามก่อการร้าย/ยุคสงครามกองโจร  ....ในเมือง!เกี่ยวกับเรื่องนี้ บทความนี้พิจารณา ว่า ยุทธวิธีทางทหาร-ปฏิบัติการขณะสู้รบของฝ่ายรัฐบาลนั้นเหมาะกับสงครามที่ แนวรบชัดเจน การแยกมิตรแยกศัตรูชัดเจน การแบ่งฝ่ายชัดเจน สนามรบชัดเจน การลุกไล่ล่าถอยเป็นการกระทำต่อกองกำลังติดอาวุธของฝ่ายตรงข้ามในที่ตั้งที่ชัดเจน คู่สงครามชัดเจน ฯลฯ คือเป็นสงครามในรูปแบบ ที่มีผู้บังคับบัญชาสายดิ่งไม่รู้กี่ชั้นต่อกี่ชั้น การประสานงานในแนวราบกับกองกำลังอื่นๆ หรือหน่วยอื่นเกือบไม่มีเลย ไม่มีคำสั่งที่ส่งต่อตามแนวดิ่งกันลงมาเป็นทอดๆๆๆๆๆๆ ก็เป็นเป็ดง่อยทำอะไรไม่ได้ รอคำสั่งสถานการณ์ก็ไปไกลเกินแก้ สงครามในรูปแบบนั้น มีกฎกติกาที่ทั้งสองฝ่ายต้องยึดถือที่แน่นอน เช่น การไม่ทำร้ายพลเรือน กฎการปฏิบัติต่อเชลยศึก ฯลฯ และกำลังพลเกือบทั้งหมดของกองทัพไทยก็ถูกฝึกให้ถนัดยุทธวิธีที่ใช้กับสงครามในรูปแบบที่ว่านี้ ซึ่งนำมาใช้กับสงครามกองโจร ก็อย่างที่เห็น มีแต่เป็นเป้านิ่งให้ถูกสอยตายเป็นใบไม้ร่วงซ้ำซากอย่างที่เห็นในกรณีสามจังหวัดชายแดนภาคใต้นั่นเอง ส่วนยุทธวิธีที่ทางฝ่ายตรงข้ามใช้นั้น มีลักษณะการจัดกองกำลังเป็นแบบ "..การจัดองค์กรแนวราบ แยกกันเป็นกลุ่มๆไป ไม่ต้องขึ้นต่อกัน มีแต่การประสานงานเป็นเครือข่ายเพื่อให้ความช่วยเหลือกันเมื่อจำเป็น หรือเมื่อจะมีการปฏิบัติขนาดใหญ่เท่านั้น โดยปกติแล้วแต่ละกลุ่มจะเลือกเป้าหมาย วิธีการ และเวลาปฏิบัติของตนเอง ไม่ต้องรอรับคำสั่งจากส่วนกลาง ขบวนการจะเน้นที่การฝึกอบรมอุดมการณ์ ความมุ่งหมายหลัก ยุทธศาสตร์-ยุทธวิธี เทคนิคการต่อสู้และการก่อการร้ายในรูปแบบต่างๆ การสนับสนุนด้านการเงินและส่งกำลังบำรุงก็มีน้อย แต่ละกลุ่มจะต้องพึ่งตนเองให้มากที่สุด การจัดองค์กรแนวราบแบบนี้ทำให้เกิด COMPARTMENTALISATION ในด้านข่าวกรอง ฝ่ายตรงข้ามเจาะเข้ามาได้ยาก เพราะเป็นกลุ่มเล็ก แม้จะเจาะเข้ามาได้ ก็จะได้เพียงกลุ่มเดียว ยากที่จะโยงให้ได้ทั้งเครือข่าย...." การจัดกองกำลังเช่นนี้ สอดคล้องกับสงครามที่ แนวรบไม่ชัด พลเรือนกับเป้าหมายปะปนกันหรือเป้าก็คือพลเรือนเป็นหลักด้วย การแยกมิตรแยกศัตรูเป็นไปได้ยากหรือเกือบไม่ได้เลย มีความเป็นอิสระและคล่องตัวมาก ที่สำคัญกองกำลังส่วนใหญ่ของกองโจรเป็นวัยรุ่นวัยฉกรรจ์เปี่ยมด้วยพละกำลัง ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารไทยอาจเป็นข้าราชการทหารวัยใกล้กลางคน(?) ..อย่างนี้รบร้อยครั้งแพ้ร้อยครั้ง และเมื่อรวบรวมพฤติกรรมการก่อการของพวกนี้ในสามจังหวัดภาคใต้นั้น เห็นว่ามักจะประกอบด้วย การประชิดตัวฆ่าทั้งด้วยพาหนะ/รถกระบะ และโดยการยิงกราด การวางระเบิด เสร็จแล้วตามด้วยการสร้างสิ่งกีดขวางเพื่อป้องกันการเข้าช่วยเหลือเหยื่อผู้ก่อการร้าย ของทางเจ้าหน้าที่บ้านเมืองและถ่วงเวลาเพื่อการหลบหนี เช่น การโค่นต้นไม้ การโรยเรือใบ เสร็จแล้วก็หลบหนีโดยการใช้ฝูงชาวบ้านเป็นเกราะกำบัง ซ้ำซากอยู่อย่างนี้ เมื่อตระหนักรู้ได้ดังนี้แล้ว การกำหนดมาตรการทางทหารก็น่าจะทำได้สอดคล้องกับสถานการณ์และสภาพสภาวะของสงครามยุคใหม่ ที่เผชิญหน้าอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้น โดยจะต้องมีวัตถุประสงค์ของมาตรการทางทหาร อยู่ที่ อันดับแรก ก็ต้อง เพื่อต่อกรและเอาชนะพวกกองโจรทางยุทธวิธีได้ /หรืออย่างน้อยก็ต้องป้องกันตัวได้(วะ)  ไม่เป็นแต่ฝ่ายถูกเขาสอยล่วงอยู่อย่างนี้ / อันดับต่อมา ก็ต้องเพื่อให้สามารถให้ความคุ้มครองประชาชน ทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมทั้งเชื้อสายจีนและเชื้อสายมลายูในพื้นที่สีเขียวได้ร้อยละร้อย และในพื้นที่สีเหลืองร้อยละหกสิบเจ็ดสิบและมากขึ้นเรื่อยๆ และอันดับสุดท้าย ก็ต้อง เพื่อให้ความคุ้มครอง/อย่างน้อยก็เป็นที่พึ่งกับประชาชนไทยมุสลิมมลายูที่อยู่ระหว่างเขาควายในพื้นที่หมู่บ้านสีแดงให้ได้มากขึ้นเรื่อยๆ
ถามว่า อย่างไร ตอบว่า ก็จะต้องมีมาตรการทางทหารเพื่อต่อกรกับกองโจรทางยุทธวิธี เสนอให้ จัดตั้ง หน่วยกองกำลังจรยุทธของรัฐบาล ที่เฉพาะเจาะจงให้ทำภารกิจในการนี้ ขึ้นมา ๒ ประเภท ที่ทำงานคู่ขนานและหนุนช่วยกัน คือ ประเภทหนึ่งเป็น กองทหารที่ทำงานมวลชนเป็นด้านหลัก มีการเมืองเป็นธงนำ ผ่านรูปธรรมการให้ความช่วยเหลือชาวบ้านทั้งไทยพุทธไทยมุสลิมในพื้นที่สีแดง เช่น การให้บริการรักษา/หมอทหาร-เสนารักษ์ ฯลฯ ในขณะที่ก็ต้องมีศักยภาพในการสู้ป้องกันตนเองได้ด้วยในระดับหนึ่ง อีกประเภทหนึ่ง เป็นกองทหารที่ทำงานสู้รบเป็นด้านหลัก ทำงานมวลชนเป็นด้านรอง เป็นหน่วยเคลื่อนที่เร็ว เพื่อช่วยเหลือทางยุทธวิธีต่อกองกำลังที่ทำงานมวลชนเป็นหลัก ทั้งสองหน่วยขึ้นตรงต่อผู้บังคับบัญชาคนเดียวกัน ต้องเป็นทหารรุ่นใหม่/รับสมัครเข้ามาใหม่ เป็นคนหนุ่ม ไม่มีภาระครอบครัวผูกพันให้อีรุงตุงนัง มีค่าตอบแทนสูง ผ่านการอบรมทั้งทางด้านยุทธวิธีแบบกองโจร และการฝึกอบรมทางด้านอุดมคติอุดมการณ์ ฝึกอบรมให้พูดภาษาท้องถิ่นได้คล่อง  ให้มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ให้สุภาพเรียบร้อย ให้รู้ภาษาถิ่น ให้รู้วัฒนธรรม ให้รู้และตระหนักในคติความเชื่อแบบอิสลาม จนสามารถโน้มน้าวเยาวชนยุวชนมุสลิมมลายูไทย ไม่ให้ตกเป็นเหยื่ออุดมการณ์ของมุสลิมสายรุนแรงที่ได้รับอิทธิพลมาจากมุสลิมนอกประเทศ ผ่านคติธรรมคำสอนทางศาสนาของอิสลามเอง โดยหวังผลว่า หนึ่ง พวกเขาจะไม่ลุกขึ้นมาก่อการเข่นฆ่าเพื่อนต่างความเชื่อร่วมแผ่นดิน สอง พวกเขาจะไม่ตกเป็น  "เหยื่อของมุสลิมต่างประเทศ" ในการแบ่งแยกดินแดน อันจะทำให้ประเทศชาติต้องสูญเสียอย่างมหาศาล สาม พวกเขาจะมีความภาคภูมิใจในความเป็น "มุสลิมมลายูไทย" ที่มีอัตตลักษณ์ของตนเองไม่น้อยหน้ามุสลิมประเทศไหนในโลก!
นั่นน่าจะเป็นมาตรการทางยุทธวิธีด้านการทหาร เพื่อให้การคุ้มครอง ประชาชนไทยพุทธและไทยมุสลิม ใน เขตพื้นที่สีแดงเป็นหลัก ในเขตพื้นที่สีเหลืองสีเขียวคงต้องอาศัยหลายกองกำลังช่วยกัน ทั้งกองกำลังป้องกันตัวเองของชาวบ้านไทยพุทธไทยมุสลิมเอง และกองกำลังของทางการ
อย่างไรก็ตามการแก้ปัญหาการก่อความไม่สงบในสามหรือห้าจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น หากจะแก้ให้ได้ถาวร คงต้องแก้กันทางยุทธศาสตร์ทุกด้าน ทั้งด้านสังคมการศึกษา เศรษฐกิจและการเมือง โดยเฉพาะหน้านี้ประชาชนประชาชาติไทยที่รักประเทศทุกภาคส่วน จะต้องช่วยกันทลาย ระบอบทักษิโณมิกส์ ของ ทักษิณและพวกลงให้ราบคาบ แล้วเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่ ของ สังคมการศึกษา เศรษฐกิจ และการเมือง ที่ประชาชนทุกภาคส่วนของทุกประชาชาติในประเทศจะมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพราะเป็นระบอบที่ระรานรุกล้ำกระทั่งทำลายล้างผลาญ ที่ทำกินของประชาชนทุกหมู่เหล่า วิถีชีวิต คติความเชื่อและบรรทัดฐานทางคุณธรรมจริยธรรมที่ดีงามดั้งเดิมของสังคมไทย ลงอย่างแหลกลาญ!...... ทักษิณ.....ออกไป!
หมายเหตุ/แฟ้มที่เกี่ยวข้อง:
ศธ. คุมปอเนาะ-โต๊ะครู / เรื่องที่ "คนของประเทศ"ไทยควรรู้? /แบ่งแยกดินแดนหรือแบ่งกันกิน? /รองนายกฯมาเลย์ปลุกมุสลิมสายกลางปราบ ‘ทรราชย์’ หัวรุนแรง /ความเห็น โดย คุณลอกมาแฉ /ผลกระทบวิกฤตชายแดนใต้ จากท้องถิ่นสู่สากล / พฤติกรรมและนิสัยสันดานของประเทศมาเลเซีย! /มุสลิมสืบทอดส่งต่อความโหดร้ายของโลกมุสลิมยุคกลางมาที่ภาคใต้ของไทย / ว่าด้วยอาณานิคมภายใน / แอกประวัติศาสตร์ใครสร้าง? / "ท่านคิดเหมือนผมหรือไม่ ?" / เปิดกระบวนรบนอกตำรา 44 ยุทธวิธีก่อเหตุร้ายชายแดนใต้ /แนวทางการแก้ไขกระบวนรบนอกตำรา 44 ยุทธวิธีก่อเหตุร้ายชายแดนใต้
กิตติคุณประกาศ : ขอขอบคุณเวบไซท์เจ้าของภาพทุกภาพในเวบเพจนี้ซึ่งได้มาจากเวบไซท์ต่างๆ ของสื่อบนโลกอินเตอร์เนท .... ขอบคุณค่ะ!
ภาคผนวก

Taliban execution in Kabul
September 11, 2001
Young gay men executed for being gay in Iran
Taliban execution in Herat

 

How the Precious Statues of Afghanistan Got Destroyed?


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

Powered By Blogger

หน้าเว็บ

ผู้ติดตาม